"ประติมากรรมสิงห์ดินเผา" สมัยทวารวดี พบที่เมืองโบราณอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรี ปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่ห้องพิพิธภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาที่ทำในประเทศไทย บริเวณชั้น 2 ของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ขนาดสูง 11.8 เซนติเมตร กว้าง 9 เซนติเมตร
สิงห์ หรือ สิงโต เป็นสัตว์ที่ปรากฏในงานศิลปกรรมแทบทุกยุคทุกสมัยในพื้นที่ประเทศไทย ตั้งแต่สมัยทวารวดีจนถึงรัตนโกสินทร์ สันนิษฐานว่าการสร้างสิงห์ในดินแดนแถบนี้ คงได้รับอิทธิพลเรื่องรูปแบบและคติการสร้างมาจากอินเดีย เนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ปรากฏสัตว์ดังกล่าวอยู่ในธรรมชาติ
สิงโต เป็นสัตว์ในวงศ์ (family) เดียวกับแมว มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของวงศ์ รองจากเสือโคร่งไซบีเรีย ในอดีต (ช่วงหลัง 10,000 ปีลงมา) พบสิงโตอยู่อาศัยกระจายตัวในเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปตะวันออกเฉียงใต้ แถบคาบสมุทรบอลข่าน แต่ในปัจจุบัน สิงโตตามธรรมชาติได้ลดจำนวนลงอย่างมาก จนตกอยู่ในกลุ่มสัตว์ที่มีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ ปัจจุบันยังคงพบสิงโตตามธรรมชาติเฉพาะที่ทวีปแอฟริกา และรัฐคุชราตของอินเดีย
สิงโตได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าป่าหรือราชาแห่งสัตว์ เป็นตัวแทนแห่งความยิ่งใหญ่ พลังอำนาจ ความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สิงโตจึงมักถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นปกครอง ชนชั้นสูง การแสดงอำนาจ ความน่ายำเกรง น่าเกรงขาม
โดยเฉพาะในอารยธรรมโบราณที่มีสิงโตอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ เช่น “เทพีเซ็คเมท” (Sekhmet) ในอารยธรรมอียิปต์ ซึ่งมีส่วนศีรษะเป็นสิงโตตัวเมีย ร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นเทพีแห่งสงคราม การทำลายล้างศัตรู และการรักษา (หนึ่งในวิธีการทำลายล้างของเทพีคือการแพร่เชื้อโรค ดังนั้นเทพีก็ย่อมมียารักษาโรค) ในวัฒนธรรมโบราณของแถบเอเชียไมเนอร์ สิงโตเป็นสัญลักษณ์แห่งสุริยเทพ ในคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์ฮินดู สิงโตถูกใช้เป็นสัตว์พาหนะของเทพเจ้าบางองค์ เช่น เทพีทุรคา ที่ทรงสิงห์ปราบอสูรมหิษสูรมรรทนี (นรสิงห์) และเป็นสัญลักษณ์แทนเทพบางองค์
ส่วนในคติความเชื่อทางพุทธศาสนา สิงห์เป็นสัญลักษณ์แห่งราชวงศ์ศากยะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ยังได้รับการขนานนามว่า “ศากยสิงห์” ซึ่งหมายถึง สิงห์แห่งศากยวงศ์ สิงห์จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งพระพุทธศาสนา ในราวพุทธศตวรรษที่ 3 พระเจ้าอโศกมหาราช แห่งราชวงศ์โมริยะ ได้นำสัตว์ที่มีพลังอำนาจอย่างสิงห์และสัตว์ชนิดอื่น มาประดับหัวเสาแห่งธรรม หรือที่รู้จักกันในชื่อ "เสาพระเจ้าอโศก" (Pillar of Asoka) ส่วนความเชื่อฝ่ายมหายาน สิงห์เป็นพาหนะของพระธยานิพุทธไวโรจนะ และพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ในทางพุทธศาสนา ยังมีตำนานเกี่ยวกับสิงห์อยู่ในไตรภูมิที่กล่าวถึงสิงห์ 4 จำพวก คือ ติณะสิงหะ (สิงห์มีปีก กินหญ้าเป็นอาหาร) กาละสิงหะ (สิงห์สีดำ กินหญ้าเป็นอาหาร) ปัญฑระสิงหะ (สิงห์สีเหลือง กินเนื้อเป็นอาหาร) และ ไกรสรสิงหะ (สิงห์สีขาว กินเนื้อ มีพละกำลัง และมีอิทธิฤทธิ์มาก)
คติและลักษณะทางศิลปกรรมเกี่ยวกับสิงห์จากอินเดีย ได้ส่งอิทธิพลมาโดยตรงยังวัฒนธรรมทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 12-16) ในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน พบรูปสิงห์ปรากฏบนหลักฐานทางโบราณคดีสมัยทวารวดีมากมายหลากหลายรูปแบบและหลากหลายวัสดุ เช่น รูปสิงห์สลักบนฐานรองธรรมจักรหินที่วัดพระประโทน จ.นครปฐม ประติมากรรมลอยตัวรูปสิงห์ปูนปั้นที่วัดพระเมรุ จ.นครปฐม สิงห์สำริดที่เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี และ จ.กาฬสินธุ์ ประติมากรรมรูปเทวีกับสิงห์ดินเผา (อาจเป็นพระอุมากับสิงห์ที่เป็นสัตว์พาหนะ) ที่เมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ประติมากรรมรูปสิงห์ขนาดเล็กทำจากดินเผาที่เมืองจันเสน จ.นครสวรรค์ เมืองซับจำปา จ.ลพบุรี และเมืองอู่ทอง จ.สุพรรณบุรี ประติมากรรมปูนปั้นแสดงถึงภาพเล่าเรื่องปรากฏที่เจดีย์จุลประโทน จ.นครปฐม อยู่ด้านขวาของคนขี่ม้า (ไม่สามารถระบุเรื่องราวได้ชัดเจน) เป็นต้น
รูปสิงห์ประดับฐานสถาปัตยกรรม ซึ่งพบทั้งที่เป็นปูนปั้นและดินเผา ปูนปั้นเช่นที่เจดีย์พระประโทน จ.นครปฐม บ้านโคกไม้เดน จ.นครสวรรค์ เขาคลังใน เมืองศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ และเป็นรูปคนแคระแบกมีหัวเป็นสิงห์ที่แหล่งโบราณคดีทุ่งเศรษฐี จ.เพชรบุรี รูปสิงห์ประดับฐานสถาปัตยกรรมที่ทำจากดินเผา เช่น ที่เมืองคูบัว จ.ราชบุรี สระแก้ว เมืองศรีมโหสถ จ.ปราจีนบุรี เป็นต้น
การใช้สิงห์ประดับไว้ตามฐานของศาสนสถาน สันนิษฐานว่า เนื่องจากสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธ เป็นสัตว์ที่มมีพลังอำนาจ และอีกนับหนึ่งคือหากพิจารณาตามระบบจักรวาลของศาสนาพุทธ หากเจดีย์เปรียบเสมือเขาพระสุเมรุ ใต้เขาพระสุเมรุคือป่าหิมพานต์ ซึ่งเป็นที่อยู่ของสิงห์และสัตว์หิมพานต์อื่น ๆ
นอกจากนี้ยังพบรูปสิงห์บนตราประทับและตราดินเผา ซึ่งอาจเป็นของสิริมงคลที่นักเดินทางพกติดตัว มีความเชื่อเกี่ยวกับพลังอำนาจเสริมสร้างบารมี หรือคุ้มครอง และยังพบในลักษณะเป็นประติมากรรมบนฝาจุกภาชนะดินเผา รวมถึงเป็นลวดลายบนตัวภาชนะดินเผา ซึ่งอาจเป็นภาชนะดินเผาที่ใช้ในพิธีกรรม
รูปสิงห์สมัยทวารวดีที่พบในพื้นที่ต่าง ๆ มีรูปแบบศิลปะแตกต่างกันไป น่าจะเกิดจากการนำคติความเชื่อและศิลปะของอินเดียซึ่งเป็นต้นแบบ มาผสมผสานเข้ากับงานช่างท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ เนื่องจากช่างพื้นถิ่นไม่อาจไม่เคยเห็นสิงห์หรือสิงโตตัวจริงมาก่อน จึงทำให้สิงห์มีลักษณะผิดเพี้ยนไปจนมีลักษณะเฉพาะตัวของช่างแต่ละคน แต่ละพื้นที่) จึงสามารถกำหนดอายุประติมากรรมสิงห์ชิ้นนี้ได้ว่า อาจมีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 13 - 14 ซึ่งเป็นช่วงที่ศิลปะทวารวดีเริ่มมีพัฒนาเป็นรูปแบบการทางศิลปะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ที่แตกต่างจากศิลปะอินเดียแล้ว ส่วนอากัปกิริยาของสิงห์ที่นั่งชันเข่า น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากอินเดียตอนใต้ ตัวอย่างจากอินเดียเช่นที่สิงห์ที่นั่งอยู่หน้าถ้ำวราหะ (Varaha cave) ในรัฐทมิฬนาดู ศิลปะปัลลวะ (พุทธศตวรรษที่ 12-15)