ความสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับอดีตและการสะสมสิ่งของ เป็นลักษณะนิสัยหนึ่งของมนุษย์ที่มีมาช้านาน ซึ่งอาจเป็นที่มาของการเริ่มสนใจและศึกษาของเก่า จนนำไปสู่การศึกษาทางโบราณคดีในที่สุด
แม้ว่าศาสตร์โบราณคดีสมัยใหม่จะเพิ่งได้รับการพัฒนามาเมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ แต่ความพยายามที่จะรื้อฟื้นร่องรอยทางประวัติศาสตร์และบูรณปฏิสังขรณ์โบราณสถานของมนุษย์เกิดขึ้นมาหลายพันปีแล้ว ครั้งแรกสุดเท่าที่ปรากฏหลักฐานเกิดขึ้นที่อียิปต์ เมื่อราว 1,550-1,070 ปีก่อนคริสตกาล ในสมัยจักรวรรดิอียิปต์ หรือราชอาณาจักรใหม่ (New Kingdom Egypt) โดยฟาโรห์สมัยนั้นโปรดให้ขุดและบูรณปฏิสังขรณ์สฟิงซ์ที่สร้างถวายฟาโรห์คาฟรา (Khafra หรือ Khafre ครองราชย์เมื่อ 2,558-2,532 ปีก่อนคริสตกาล) ฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 4 สมัยราชอาณาจักรเก่า (Old Kingdom, อายุราว 2,575-2,134 ปีก่อนคริสตกาล) ของอียิปต์โบราณ แม้จะไม่ปรากฏหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรกล่าวถึงเหตุการณ์ในครั้งนี้ แต่จากหลักฐานโบราณคดี เช่น ร่องรอยบนสฟิงซ์ รวมถึงโบราณวัตถุบางชิ้น ชี้ให้เห็นว่าสฟิงซ์แห่งนี้เคยถูกทรายฝังถึงในระดับหัวหรือไหล่ ก่อนที่จะมีการขุดทรายออกและบูรณปฏิสังขรณ์ในสมัยหลัง นั่นคือสมัยราชอาณาจักรใหม่นั่นเอง
นักสะสมและศึกษาของเก่า (Antiquarian) ที่โด่งดังในยุคแรกๆ คือ กษัตริย์อัชเชอร์บานิปาล (Ashurbanipal) แห่งจักรวรรดิอัสซีเรียใหม่ (Neo-Assyrian Empire) ครองราชย์เมื่อ 668-627 ปีก่อนคริสตกาล โดยพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอสมุดขึ้นในพระราชวังนินอิฟฟะ หรือนินเวห์ (Nineveh) ที่เป็นที่รู้จักกันในชื่อ The Library of Ashurbanipal (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก) เพื่อเก็บตำราและแผ่นจารึกอักษรรูปลิ่มที่ทำมาจากดินเหนียวหลายหมื่นชิ้น ที่พระองค์ทรงรวบรวมมาจากดินแดนต่างๆ ในเมโสโปเตเมีย โดยเฉพาะของบาบิโลเนีย กษัตริย์อัชเชอร์บานิปาลทรงเป็นกษัตริย์หนึ่งในไม่กี่พระองค์ที่ทรงอ่านอักษรคูนิฟอร์มของอัคคาเดียนและซูเมอร์ได้ โดยพระองค์ทรงศึกษาจารึกเหล่านั้นร่วมกับบัณฑิตที่ทรงจ้างมาเพื่อศึกษาและคัดลอกจารึกโดยเฉพาะ เรื่องราวในจารึกมีทั้งที่เกี่ยวกับราชวงศ์ พระบรมราชโองการ พงศาวดาร กฎหมาย สัญญา การปกครอง ตำรายา ดาราศาสตร์ ศาสนาความเชื่อ โชคลาง โหราศาสตร์ เวทมนตร์คาถา บทสวดมนต์ และวรรณกรรมต่างๆ เช่น มหากาพย์กิลกาเมช (Epic of Gilgamesh)
![]()
โบราณวัตถุจาก The Library of Ashurbanipal ปัจจุบันโบราณวัตถุจัดแสดงอยู่ใน British Museum ลอนดอน ประเทศอังกฤษ
(ที่มา: https://www.flickr.com/photos/101561334@N08/36562516345/)
การขุดค้นเพื่อสืบค้นประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร คือการขุดค้นของกษัตริย์นาโบนิดัส (Nabonidus) หรือ นาบูนาอิด (Nabû-na’id) กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ (Neo-Babylonian Empire) ครองราชย์เมื่อ 556-539 ปีก่อนคริสตกาล พระองค์ทรงขุดค้นภายในซิกกุรัต (Ziggurat) แห่งหนึ่งในเมืองเออร์ (Ur) (ปัจจุบันอยู่ในประเทศอิรัก) ที่สร้างอุทิศถวายกษัตริย์นาราม-ซิน (Naram-Sin) แห่งอัคคาเดียน (ครองราชย์ราว 2,254-2,218 ปีก่อนคริสตกาล) โดยทรงขุดลึกลงไปจนถึงศิลาฤกษ์ (foundation stone) วัตถุประสงค์ของการขุดค้นคือเพื่อสืบประวัติสถานที่ แต่อาจมีเหตุผลด้านการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง คือเพื่อยืนยันความเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์และการสืบสันตติวงศ์มาจากบรรพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทั้งนี้ระหว่างการขุดค้นทรงพบซากพื้นเก่าและทรงรวบรวมโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดค้นไว้ด้วย นอกจากนั้นยังทรงสันนิษฐานอายุของสิ่งก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์ซิกกุรัตแห่งนี้ แม้ว่าพระองค์จะไม่ใช่นักโบราณคดี แต่วิธีการขุดค้นหลายอย่างก็คล้ายคลึงกับวิธีการขุดค้นทางโบราณคดีสมัยใหม่ในคริสต์ศตวรรษที่ 19 (Bahn, 1999: 2) จนมีนักวิชาการบางท่านยกย่องพระองค์เป็น “นักโบราณคดีคนแรกของโลก” (Bertman, 2003: 47)

Ziggurat of Ur
(ที่มา: https://www.bbc.com/travel/article/20220822-the-ziggurat-of-ur-iraqs-answer-to-the-pyramids)
ยิ่งไปกว่านั้นกษัตริย์นาโบนิดัสยังอาจมีอิทธิพลต่อพระธิดา คือเจ้าหญิงเอนนิกาลดิ (Ennigaldi หรือ Ennigaldi-Nanna) ผู้ก่อตั้งพิพิธภัณฑ์แห่งเจ้าหญิงเอนนิกาลดิ (Ennigaldi-Nanna's museum) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลก (อายุราว 530 ปีก่อนคริสตกาล) อยู่ในพระราชวังในเมืองเออร์ (Ur) พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ส่วนพระองค์ที่รวบรวมโบราณวัตถุและศิลปวัตถุสมัยต่างๆในดินแดนเมโสโปเตเมีย ทั้งยังมีการจัดทำทะเบียนวัตถุภายในพิพิธภัณฑ์ (เป็นทะเบียนวัตถุในพิพิธภัณฑ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก) และเจ้าหญิงเองยังทรงเป็นภัณฑารักษ์ (curator) ประจำพิพิธภัณฑ์อีกด้วย
ช่วงเวลาหลังจากนั้นก็ปรากฏหลักฐานในหน้าประวัติศาสตร์ว่ามีผู้คนสะสมและขุดเอาหลักฐานทางโบราณคดีขึ้นมาใช้ประโยชน์อยู่หลายครั้ง ทั้งเป็นวัตถุเพื่อนำไปใช้ยืนยันและปะติดปะต่อเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ รวมถึงนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของตนเอง อาทิ การยืนยันทางสายเลือดและการค้า ดังเช่นบันทึกของ Strabo of Pontus (มีอายุอยู่เมื่อ 62 ปีก่อนคริสตกาล – ค.ศ. 24) ที่กล่าวถึง ทหารโรมันของจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้ขุดเอาโบราณวัตถุจากหลุมศพในเมืองโครินธ์โบราณ (Ancient Corinth) ของกรีกขึ้นมาและภายหลังนำไปขายในราคาสูง เนื่องจากเป็นสิ่งของมีค่าและหายาก (Crewin, 2007: 46)
กระทั่งในสมัยฟื้นฟูศิลปวิทยาการแห่งอิตาลี (Italian Renaissance) ที่นักวิชาการโบราณคดีส่วนใหญ่กล่าวกันว่าเป็นรากเหง้าของศาสตร์โบราณคดีสมัยใหม่ โดยในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ชนชั้นสูงและชั้นกลางของยุโรปนิยมไปที่อิตาลีเพื่อศึกษาและสะสมศิลปวัตถุสมัยกรีก-โรมันไว้เป็นสมบัติส่วนตัว เพื่อความรู้และความงามทางศิลปะ มิใช่เพื่ออวดสถานภาพของตน (Antiquarianism) ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ผู้คนเหล่านี้จึงข้ามไปเก็บโบราณวัตถุ-ศิลปวัตถุในภูมิภาคอื่นด้วย โดยเฉพาะในตะวันออกใกล้และอียิปต์
การเก็บสะสมสิ่งของเหล่านี้นำไปสู่การขุดหาโบราณวัตถุตามโบราณสถานและเนินดินต่างๆ แต่ไม่อาจกล่าวได้ว่าเหตุการณ์ในช่วงเวลานี้เป็นต้นแบบการขุดค้นทางโบราณคดี
อย่างไรก็ดี ในสมัยนี้มีบางคนมุ่งมั่นศึกษาโบราณวัตถุสถานและจารึกต่างๆอย่างจริงจัง เช่น ซิริอาโก เดอ พิซซิคอลลี (Ciriaco de’ Pizzicolli) ชาวอิตาลี ผู้เป็นทั้งพ่อค้า นักการทูต และที่ปรึกษาของพระสันตะปาปายูจีนที่ 4 (Eugene IV) พิซซิคอลลีเดินทางเข้าไปหลายประเทศในแถบเมดิเตอร์เรเนียน เช่น อิตาลี ซีเรีย อียิปต์ เขาได้แปลและทำสำเนาจารึกภาษาละติน วาดรูปทำแผนผังโบราณสถานหลายแห่ง และยังได้เขียนบรรยายรายละเอียดของโบราณวัตถุสถานที่เขาได้พบ อีกทั้งยังได้ตั้งคำถามและสันนิษฐานประวัติของหลักฐานทางโบราณคดีเหล่านั้น นักวิชาการบางท่านจึงถือว่าพิซซีคอลลีเป็น "ผู้วางรากฐานวิชาโบราณคดีสมัยใหม่คนแรก" (Thomas, 2007: 4; Trigger, 1989: 36) หรือเป็น "นักโบราณคดีคนแรก" (Crewin, 2007: 16)

ประติมากรรมภาพเหมิือนของ Ciriaco de’ Pizzicolli
(ที่มา: https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Ciriaco_Pizzicolli_-_Museum_in_Ancona.jpg)
นอกจากนั้นในสมัยนี้ยังมีการก่อตั้งสมาคมที่มีบทบาทในการก่อร่างสร้างตัวของโบราณคดีในระยะต่อมา เช่น The Society of Antiquaries of London (1572) ซึ่งทำหน้าที่บันทึกและสงวนรักษาสมบัติของอังกฤษ
คริสต์ศตวรรษที่ 17-18 ในยุโรปอยู่ในยุคเรืองปัญญาหรือยุคสว่าง (Age of Enlightenment) เป็นยุคสมัยของการใช้เหตุผลและการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ เกิดการทดสอบและท้าทายกันระหว่างนักวิชาการหัวก้าวหน้ากับคริสตจักร ในขณะเดียวกันการเก็บสะสมของเก่าก็ยังเป็นแฟชั่นที่แพร่หลายไปทั่วยุโรป จนหลายครั้งถึงขั้นขุดโบราณสถานเพื่อหาโบราณศิลปวัตถุต่างๆ ที่สำคัญคือการขุดค้นเมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ณ เมืองปอมเปอี (Pompeii) และเมืองเฮอคิวเลเนียม (Herculaneum) ประเทศอิตาลี การขุดค้นเมืองโบราณสมัยโรมันในครั้งนี้กระตุ้นให้เกิดความสนใจในวิชาโบราณคดีอย่างกว้างขวาง
บรรณานุกรม
สว่าง เลิศฤทธิ์ (ธนิก เลิศชาญฤทธ์). (2547). โบราณคดี : แนวคิดและทฤษฎี. กรุงเทพฯ : ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
Bahn, Paul G. (1999). The Cambridge Illustrated History of Archaeology. Cambridge : Cambridge University Press.
Bertman, Stephen. (2003). Handbook to Life in Ancient Mesopotamia. New York : Facts on File.
Crewin, Aedeen. (2007). The World Encyclopedia of Archaeology. Buffalo : Firefly Books.
Haviland, William A., Harald E. L. Prins, Bunny McBride, and Dana Walrath. (2008). Cultural Anthropology : The Human Challenge. Belmont, Calif. : Wadsworth/Thomson Learning.
Fagan, Brain M. (1991). In the Beginning : An Introduction to Archaeology. New York : Harper Collins.
Renfrew, C., and Paul G. Bahn. (1991). Archaeology : Theories, Methods, and Practice. London : Thames and Hudson Ltd.
Thomas, David Hurst. (2007). Archaeology: Down to Earth. California : Thomson/Wadsworth.
Trigger, Bruce G. (1989). A History of Archaeological Thought. Cambridge : Cambridge University Press.