การทอผ้านั้นเป็นของคู่มนุษยชาติตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ทุก ๆ กลุ่มชาติพันธุ์ล้วนมีทักษะการทอผ้าที่เฉพาะเป็นของตนเอง และชาวไทยทรงดำก็เป็นอีกกลุ่มคนที่มีทักษะในด้านอย่างชัดเจน ตั้งแต่เสื้อผ้าที่มีหลากหลายรูปแบบ มีสีดำที่เข้ากับยุคนี้ที่เน้นความเรียบง่าย แต่เมื่อได้ทำงานภาคสนามก็ต้องพบแตกแตกต่างจากที่เข้าใจ
“แล้วรายได้หลักของชุนชนเขาหัวจีนคืออะไรหรอครับ ?”
“ก็เป็นเกี่ยวกับงานเกษตรกับเลี้ยงวัวเนื้อจ๊ะ”
ตอนเข้ามาในชุมชนกลิ่นที่ได้กลิ่นคือวัวเนื้อที่พบได้เกือบทุกหลังคาเรือนในชุมชนบ้านหัวเขาจีน และบรรยากาศที่ล้อมรอบไปด้วยทุ่งนา จึงตั้งเป็นข้อสังเกตได้ว่าชุมชนนี้อาจมีแหล่งรายได้มาจากการเกษตรกรรม หลังจากการได้คุยกับคุณอ้อย หนึ่งในชาวบ้านและกรรมการที่นี้ ทำให้ได้เห็นภาพเกี่ยวกับชุมชนนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเรื่องแหล่งรายได้ที่คอยหล่อเลี้ยงชุมชนหัวเขาจีน ด้วยวันที่ไปสำรวจมีฝนตกลงมาเพียงครั้งเดียวไม่นานไม่ถึงชั่วโมงก็หยุดตกไป การสนทนากับคนในพื้นที่ก็รับรู้เกี่ยวกับฝนไม่ตกตามฤดู ส่งผลให้ทำนายากขึ้น เพราะแหล่งน้ำที่ใช้ในการอุปโภคได้มาจากสองแหล่งคือน้ำฝนกับน้ำบาดาล และชุมชนนี้ยังไม่ได้เชื่อมกับการประปาส่วนภูมิภาค คุณสันติ กลิ่นสุคนธ์ ผู้ใหญ่บ้านของชุมชนหัวเขาจีนได้อธิบายว่าเหตุที่ไม่ได้เดินท่อเข้ามาในชุมชน เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการเดินท่อเข้ามาในชุมชนค่อนข้างสูง ทำให้การใช้น้ำบาดาลของชุมชนเป็นไม่กี่ทางเลือกในช่วงหน้าแล้ง
“ผ้าทอเราก็ขายออนไลน์ผ่านไลฟ์เหมือนกันไม่ได้มีขายแค่ตรงนี้ คนดี”
ในชุมชนหัวเขาจีน การจัดจำหน่ายผ้าทอนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่วิสาหกิจชุมชนผ้าทอไทยทรงดำบ้านหัวเขาจีนในศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำบ้านหัวเขาจีน น้าอ้อยขยายความเกี่ยวกับวัฒนธรรมการทอผ้าว่า ชาวไทยทรงดำได้ปรับตัวไปกับวัฒนธรรมร่วมสมัยโดยนำอินเทอร์เน็ตมาใช้เพื่อให้สื่อสารและค้าขายได้สะดวก
แตกต่างจากในอดีต ลุงไทร ชาวไทยทรงดำผู้ย้ายเข้ามาในชุมชนหัวเขาจีนตั้งแต่ พ.ศ. 2500-2566 เล่าว่าในช่วงวัยเด็ก ชาวไททรงดำต้องเดินทางจากชุมชนไปกลับตลาดที่ปากท่อถึง 1 วัน ต่างจากชาวไทยทรงดำในยุคปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด ที่มีถนนลาดยางเข้ามาในปี พ.ศ. 2530 ส่งผลให้การคมนาคมและการเดินทางสะดวกขึ้นกว่าสมัยของคุณลุงไทรที่ต้องเดินไปถึง 1 วันเพื่อทำการติดต่อซื้อขาย
“แล้ววันหนึ่งทอกันได้เยอะมั้ยครับ ?”
“ก็แล้วแต่คนนะ บางคนตั้งใจทอก็ได้สองสามผืน”
การทอผ้าของเหล่าสตรีในชุมชนเกิดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมบ้านหัวเขาจีน คุณวีณาได้ขยายว่าหลังจากช่วยเหล่าผู้ชายที่บ้านของตนทำนาเลี้ยงวัว ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะมารวมตัวกันที่นี้เพื่อทอผ้าขายเป็นแหล่งรายได้หลัก ต่างกับเกษตรกรรมและปศุสัตว์ที่นี้
“แล้วคุณน้าทอผ้าเป็นมั้ยครับ?”
“น้าทอไม่เป็นหรอก เอาจริง ๆ ก็ไม่ค่อยชอบด้วย รุ่น ๆ น้าก็หายากแล้วล่ะที่ทอเก่ง ๆ นะ”
คำพูดของคุณน้าร้านอาหารตามสั่งใกล้ศูนย์วัฒนธรรมบ้านเขาหัวจีน ชี้ให้เห็นถึงการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต สตรีไทยทรงดำที่มีอายุ 40-50 ปี ขึ้นไป มาช่วยทอผ้า บางครั้งอาจมีผู้ชายมาช่วยบ้างเพื่อช่วยซ่อมกี่ทอผ้า เรื่องนี้มีกรณีศึกษาอย่างชัดเจนกับกลุ่มชาติพันธุ์มอแกน ที่เยาวชนเริ่มหันเขาสู่การทำงานในนิคมอุตสาหกรรม อ้างอิงจากบ้านของคุณวีณาก็มีลูกสาวเช่นเดียวกับหลาย ๆ บ้านเช่นกัน ดังเช่นบทสนทนาที่สะท้อนเรื่องราวทอผ้าของคุณวีณา
“คนดี ลูกสาวน้าสองคนก็ทำได้แต่เขาไม่ทำกัน น้าส่งลูกสองคนไปเรียนเพื่อที่จะให้เขามีอนาคตที่ดีขึ้น ทอผ้าได้แล้วมันก็ได้แค่ครั้งละ 100 ต่อผืนเองจ๊ะ คนดี”
คำพูดข้างต้นทำให้เราเห็นมุมขัดแย้งในชุมชนเกี่ยวงานทอผ้า ชี้ให้เห็นว่าในชุมชนบ้านหัวเขาจีนยังมีเยาวชนที่ยังสามารถสืบสานวัฒนธรรมทอผ้าได้ เพียงแต่เลือกที่จะเดินออกมาจากกี่ทอผ้าไปสู่ระบบการศึกษา เพื่อเข้าสู่การทำงานให้มีเงินมาคอยจุนเจือครอบครัว เพราะทอผ้าได้ก็มีเงินมาช่วยได้เพียงหยิบมือเมื่อเทียบการเป็นแรงงานในชุมชนเมือง เยาวชนที่ไม่ได้สนใจในวัฒนธรรมการทอผ้าเมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษา อาจมีระบบความเชื่อของไทยทรงดำเป็นสิ่งเตือนใจเกี่ยวรากเหง้าอยู่เพียงเท่านั้น ความเชื่อของชาวไทยทรงดำนั้นเชื่อมโยงอยู่กับครอบครัวไม่น้อย แม้ละทิ้งภูมิปัญญาไป แต่ความเชื่อก็ยังคอยเตือนความเป็นไทยทรงดำอยู่
เมื่อได้เข้าไปชมสินค้าในร้านวิสาหกิจชุมชนพบว่ามีสินค้างานทอร่วมสมัยรูปแบบต่าง ๆ ทั้งกระเป๋าผ้าลายผ้าขาวม้า ยางมัดผม ปนอยู่กับเครื่องแต่งกายชาวไทยทรงดำดั้งเดิมอย่าง เสื้อไท เสื้อก้อม และซิ่นลายแตงโม คุณวีณาได้พูดเสริมนี้
“แล้วทำไมถึงมีการประดิษฐ์งานทอร่วมสมัยหรอครับ”
“ธุรกิจนะจ๊ะแค่นั้นเลย”
คำพูดจากคุณวีณา แสดงให้เห็นว่าชุมชนนี้ต้องปรับตัวตามเศรษฐกิจ และวัฒนธรรมที่กำลังเดินหน้าไปด้วยความรวดเร็ว หากไม่ปรับตัวอาจจะทำให้กลายเป็นเพียงภูมิปัญญาที่เลือนหายไปตามกาลเวลา คุณวีณาเสริมว่าเมื่อทอผ้าเสร็จจะไม่ได้ตัดเป็นชุดหรือกระเป๋า แต่จะส่งไปตัดตามแบบที่ต้องการเพื่อประหยัดเวลา คุณอ้อยเสริมว่าชุมชนไททรงดำที่ยังทอผ้าเป็นภูมิปัญญาของชุมชนนั้นมีอยู่แค่ 4 จังหวัดที่ยังเป็นงานฝีมือที่ยังทำกันอยู่อย่าง นครปฐม สุพรรณบุรี เพชรบุรี และราชบุรี ที่อยู่ของคุณอ้อย นอกจากนี้ชาวไทยทรงดำมีความสัมพันธ์กับทางราชวงศ์ดีมาตั้งแต่ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ และช่วงรัชกาลที่ 5 ก็มีเจ้าจอมเชื้อสายไททรงดำอย่าง เจ้าจอมโซ่งที่ชาวไททรงดำนับถือ คุณวีณาได้พูดเสริมเกี่ยวงานผ้าทอกับราชวงศ์ไทยไว้อย่างชัดเจน
“แล้วราชวงศ์เข้ามามีส่วนกับชาวไทยทรงดำในยุคปัจจุบันเยอะขนาดไหนหรอครับ?”
“ก็เยอะนะ ตอนนี้พวกน้าก็กำลังทอผ้าลายตัวเอสกับผ้าขาวม้าไปให้คุณโจอยู่นะ เขาจะส่งไปให้
เจ้าฟ้าหญิงสิริวัณณวรีนะ”
เห็นได้ชัดว่าสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงมีความสนพระทัยด้านเสื้อผ้าเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่สั่งงานผ้าทอจากชาวไทยทรงดำก็ไม่ค่อยเป็นเรื่องน่าแปลกใจ เมื่อปรากฏลายผ้าทอที่กี่ทอผ้านั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับชุดเดรสลายผ้าขาวม้า ที่ทรงฉลองพระองค์ขณะเสด็จเยือนกรุงปารีส
งานผ้าทอขอชาวไทยทรงดำนั้นแม้ในปัจจุบันยังสามารถดำรงอยู่ได้ คนในชุมชนชี้ให้เห็นว่าชาวไทยทรงดำนั้นเป็นกลุ่มที่ปรับตัวไปกับยุคสมัยได้ดี สามารถเชื่อมวัฒนธรรมของตนเองกับโลกร่วมสมัยได้ แต่โลกทุนนิยมที่หมุนไปอย่างว่องไวโดยไม่สนใจคนกลุ่มน้อย จากมุมมองของคุณวีณาเห็นว่าชาวไทยทรงดำรุ่นใหม่ได้ลืมวิธีการทอผ้าแล้วไปตามหาความฝันในเมืองใหญ่ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาอาจทำให้งานผ้าทอของชาวไทยวันหนึ่งอาจจะตกไปอยู่ในมือของนายทุนที่จะนำลวดลายผ้าไปผลิตเอง งานผ้าทอชาวไทยทรงดำในอนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับเหล่าคนในชุมชนทุกคน ที่จะมีคนลุกขึ้นมาช่วยให้งานผ้าทอนี้ยังคงถูกทักทอไปอีกหลายชั่วอายุคน