หากกล่าวถึงกลุ่มชาติพันธุ์ ภาพจำของหลาย ๆ คนนั้นก็คงจะเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่แสดงอัตลักษณ์ของตนเองออกมาชัดเจน เช่น ชาวกะเหรี่ยง หรือ ปกาเกอะญอที่ อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ผู้หญิงมีการใส่ห่วงเหล็กไว้รอบคอ หรือ ชาวมอแกนที่ มีถิ่นที่อยู่และวิถีชีวิตผูกพันกับทะเล แต่ในขณะเดียวกันก็ได้มีกลุ่มชาติพันธุ์อื่น ๆ ที่ไม่ได้มีการแสดงอัตลักษณ์ออกมาชัดเจนเท่ากับกลุ่มชาติพันธุ์ที่กล่าวไปข้างต้น แต่ได้มีการปรับตัว ในด้าน วิถีชีวิต วัฒนธรรม เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยใหม่ที่เป็นอยู่แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาอัตลักษณ์เอาไว้ไม่ให้เลือนหายไป หนึ่งในนั้นคือกลุ่ม ไทยทรงดำ
จากการที่ผมได้ไปลงพื้นที่ ที่ชุมชนไทยทรงดำ บ้านหัวเขาจีน ตำบลห้วยยางโทน อำเภอปากท่อ จังหวัดราชบุรี เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน นั้นทำให้ผมรู้ได้อย่างหนึ่ง คือชาวไทยทรงดำที่นี่ สามารถปรับตัวกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในด้าน วิถีชีวิต หรือวัฒนธรรมต่าง ๆ
ปฐมบท ณ บ้านหัวเขาจีน
ตอนแรกที่ไปถึงผมไม่รู้เลยว่าที่นี่คือชุมชนไทยทรงดำ บรรยากาศที่ผมคิดไว้กับของจริงที่ไปเจอมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผมคิดไว้ว่าบรรยากาศน่าจะเป็นชุมชนที่เป็นบ้านไม้ทั้งหลังกระจุกรวมตัวกันอยู่เป็นลักษณะคล้ายหมู่บ้านขนาดไม่ใหญ่มาก ในความจริงแล้ว บ้านหัวเขาจีนนั้นแทบไม่มีความแตกต่างกับ พื้นที่อื่น ๆ ในประเทศไทยเลย เพียงแต่ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่ส่วนใหญ่เป็นชาวไทยทรงดำ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทุ่งนา มีถนนลาดยางตัดผ่าน มีตลาด ร้านขายของชำ และบ้านเรือนกระจายอยู่รอบ ๆ
บริเวณเดียวที่แสดงถึงอัตลักษณ์ได้อย่างชัดเจน คือศูนย์วัฒนธรรมไทยทรงดำ ที่มีบ้านไม้แบบไทยทรงดำตั้งอยู่ มีจุดเด่นอยู่ตรงยอดจั่วบนหลังคาที่มีไม้ไขว้กันอยู่ลักษณะคล้ายเขาสัตว์ เป็นอัตลักษณ์ที่สำคัญของบ้านแบบไทยทรงดำ จากลักษณะแบบนี้แล้วทำให้เห็นว่า ชุมชนนี้ได้รับอิทธิพลจากความเจริญภายนอกมาไม่ต่างกับพื้นที่อื่นในประเทศไทยเลย แต่เมื่อได้เข้ามาอยู่ในชุมชนแล้ว ผมก็ได้ค้นพบว่าถึงลักษณะพื้นที่อยู่อาศัยอาจจะเปลี่ยนไปจากอดีต แต่การดำรงชีวิตของชาวไทยทรงดำที่นี่ก็ยังคงมีการเก็บรักษาอัตลักษณ์ ของไทยทรงดำไว้อยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนับถือผี การทอผ้า และอื่น ๆ
เปิดบ้านไทยทรงดำ
การมาอาศัยอยู่ที่ บ้านเขาหัวเขาจีนของผมนั้นเป็นการไปนอนพักกับชาวบ้าน หรือ home stay โดยบ้านที่ผมได้ไปพักเป็นบ้านของ น้าอ้อย เมื่อผมได้เห็นบ้านหลังที่พักครั้งแรกนั้นลักษณะนั้นแทบไม่แตกต่างกับบ้านเรือนไทย ในพื้นที่ชนบทที่ผมเคยเห็นมาเลย โดยบ้านมีลักษณะเป็นบ้านไม้ยกสูง มีห้องนอนทั้งบนและล่างบ้าน ห้องน้ำอยู่ข้างนอกตัวบ้าน เจ้าบ้านนั้นจะนอนอยู่ด้านล่าง ส่วนตัวผมและเพื่อนจะได้นอนบริเวณด้านบนของบ้าน เคยเป็นที่เก็บข้าวมาก่อน บริเวณชั้น 2 ของบ้านเป็นพื้นที่ค่อนข้างโล่งมีเพียงแค่ห้องนอนของผมกับเพื่อน และกะลอฮองที่เป็นห้องสำหรับผีบรรพบุรุษของชาวไทยทรงดำ
สิ่งนี้นี่เองที่เป็น คำตอบของความสงสัยของผมที่ว่าทำไมเจ้าบ้านต้องนอนชั้นล่างและทำไม่ชั้นบนจึงโล่ง สาเหตุเป็นเพราะ ชาวไทยทรงดำมีความเชื่อว่าบริเวณชั้นบนต้องเว้นที่อยู่ไว้ให้ผีบรรพบุรุษอยู่ นอกจากนี้ยังเป็นอัตลักษณ์ที่ชาวไทยทรงดำต้องคงรักษาไว้ ไม่ว่าบ้านจะมีลักษณะแบบใด แต่ถ้ายังเป็นชาวไทยทรงดำและยังมีความเชื่อในเรื่องผีบรรพบุรุษ ก็ต้องมีกะลอฮองในบ้าน นอกจากบ้านของน้าอ้อยแล้ว บ้านหลังอื่นที่ผมได้มีโอกาสเห็นนั้น ก็มีลักษณะแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านไม้ขนาดใหญ่กว่า หรือบ้านที่เป็นคอนกรีตทั้งหลัง แต่ก็ต้องมีกะลองฮองเป็นลักษณะร่วม บางหลังอาจไม่มีพื้นที่ว่างโล่งชั้นบนเยอะเหมือนตามบ้านต้นฉบับแต่เพียงแค่มีกะลอฮองที่เป็นหัวใจหลักก็เพียงพอแล้ว จากเรื่อง กะลอฮองนี้ ทำให้รู้ได้ว่าชาวไทยทรงดำมีความเชื่ออย่างแรงกล้าในเรื่องผีบรรพบุรุษและก็ยังปรับใช้ความเชื่อนั้นได้อย่างเหมาะสม สอดคล้องกับบ้านที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัยอีกด้วย เป็นเรื่องที่ดีที่บางครั้งต้องยอม ปรับเปลี่ยนบางอย่างเพื่อให้สิ่งที่เป็นหัวใจหลักของอัตลักษณ์ได้คงอยู่ต่อไป
ผ้าทอ จากของใช้เองสู่รายได้เสริม
อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นที่เป็นอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาวไทยทรงดำคือ เสื้อผ้าที่เป็นสีดำจนเป็นที่มาของชื่อ ไทยทรงดำ ชาวไทยทรงดำได้ถักทอผ้าเหล่านี้ขึ้นมาเครื่องทอผ้าที่ทำขึ้นมาเอง จากคำบอกเล่าของน้าอ้อย ทำให้รู้ว่าชาวไทยทรงดำมีเครื่องทอผ้าอยู่ติดบ้านแทบทุกครัวเรือน ในสมัยก่อนชาวไทยทรงดำก็ใส่เสื้อผ้าที่ทอขึ้นมาเอง แต่ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปส่งผลให้ชาวไทยทรงดำหันไปใส่เสื้อผ้าสมัยใหม่เมื่อเป็นเช่นนั้นทำให้บทบาทของผ้าทอของชาวไทยทรงดำเปลี่ยนไป โดยเปลี่ยนจากสิ่งที่ใช้เองในครัวเรือน เป็นการส่งออกผ้าทอ ในฐานะสินค้าที่มีเอกลักษณ์ของชาวไทยทรงดำแทน
“จริง ๆ เราเคยรวมตัวกันขายผ้าก่อนที่จะมีศูนย์วัฒนธรรมนะ แต่มันไปไม่รอดเพราะคนมันไม่มีความรู้เรื่องการขายของ”
“ต่อมาในปี 2540 เราก็ได้สร้างศูนย์วัฒนธรรมขึ้นมา แล้วค่อย ๆ พัฒนากันมาจนถึงปัจจุบันนี้”
จากคำบอกเล่าของน้าอ้อย ทำให้รู้ว่าการที่ชาวไทยทรงดำจะปรับตัวจากการทอผ้าใช้เองไปเป็นการทอผ้าขายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องมีความรู้เรื่องการตลาดไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่รอด ชาวไทยทรงดำที่บ้านหัวเขาจีน ก็ได้พัฒนาต่อมาเรื่อย ๆ จนในปัจจุบันพวกเขาก็สามารถนำ อัตลักษณ์ของพวกเขา ในรูปแบบผ้าทอ มาสร้างรายได้เสริมแก่ชุมชนได้ ในปัจจุบันผ้าทอของไทยทรงดำก็มีชื่อเสียง จนกระทั่ง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทรงให้ความสนใจและสั่งซื้อไป
การปรับตัวกับผลร้ายที่มาพร้อมกับความเจริญ
การเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยนอกจากจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ ที่ทำให้ชีวิตสบายมากขึ้น เช่น ถนน น้ำประปา หรือไฟฟ้าเข้ามา แล้วก็ยังนำพาความเดือดร้อนเข้ามาเหมือนกัน เช่นในกรณีของโรงเลี้ยงหมูที่บ้านหัวเขาจีน ที่มีนายทุนเข้ามาเพื่อที่จะสร้างฟาร์มเลี้ยงหมู และมาให้ชาวไทยทรงดำในพื้นที่ เซ็นเอกสารยินยอม ชาวไทยทรงดำในตอนนั้นยังขาดความรู้เรื่องผลกระทบจากการมีฟาร์มเลี้ยงหมูในชุมชนอยู่ ทั้งเรื่อง มลภาวะทางกลิ่น แมลงวัน และน้ำเสีย ทำให้ได้มีการเซ็นยินยอมไป พอฟาร์มเลี้ยงหมูสร้างเสร็จและใช้งานจริง ชาวไทยทรงดำก็ได้เจอกับปัญหาต่าง ๆ ทั้งเรื่องกลิ่นที่รบกวน (แต่ในปัจจุบันพวกเขาบอกว่าชินกับกลิ่นไปแล้ว) และมีเรื่องน้ำเสียที่ออกมาจากฟาร์มจนทำให้ทำการเกษตรไม่ได้ ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจึงปรับตัวด้วยการ ไปทำงานที่โรงเลี้ยงหมูแทน เมื่อเป็นเช่นนี้เวลาเกิดปัญหากับฟาร์มเลี้ยงหมูแล้วมีการร้องเรียนไป ก็ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ แล้วคนที่ทำงานที่ฟาร์มเลี้ยงหมูก็จะไม่บอกว่ามีปัญหา เพราะกลัวสูญเสียอาชีพ ปัญหานี้จึงเป็นปัญหาเรื้อรังในชุมชนมานานจนถึงปัจจุบัน
จากที่ได้กล่าวมาทั้งหมดจะสรุปได้ว่าการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยทำให้ชาวไทยทรงดำต้องเจอการปรับตัวที่ท้าทายมากมาย ดังนั้นการที่จะเลือกตัดบางอย่างและคงบางอย่างไว้เพื่อให้อัตลักษณ์ของพวกเขายังคงอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นทางเลือกในการปรับตัวของชาวไทยทรงดำ ต่อไปในอนาคตนั้นชาวไทยทรงดำจะต้องเจอกับการปรับตัวอะไรอีกและพวกเขาจะยังคงรักษาอัตลักษณ์ไว้ได้หรือไม่ก็เป็นประเด็นที่น่าติดตามต่อไป