ไทยทรงดำ : อาหารกับวิถีชีวิต
ณัฐสินี ธนิกกุล
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาหารเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรวมถึงมนุษย์ด้วย ทุกคนต้องการสารอาหารเพื่อนำไปเป็นพลังงานให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกจากอาหารจะจำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว อาหารยังเป็นเครื่องแสดงอัตลักษณ์ได้อีกด้วย โดยในแต่ละพื้นที่พบวัฒนธรรมอาหารเฉพาะตัวแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ ความชอบ ความเชื่อ วิถีชีวิต ของคนในพื้นที่เหล่านั้น ตัวอย่างเช่น คนที่มีวิถีชีวิตอยู่ใกล้ทะเลมักคัดสรรวัตถุดิบอาหารที่มาจากทะเล หรือคนที่เชื่อกันว่ายาจีนเป็นยาอายุวัฒนะคนที่นั่นก็จะต้มยาจีนทานกันบ่อย ๆ
จากประสบการณ์ที่ได้ไปอยู่ร่วมกับคนไทยทรงดำ ที่บ้านหัวเขาจีน จังหวัดราชบุรี เป็นเวลา 4 วัน 3 คืน ทำให้ทราบว่าคนไทยทรงดำเองก็มีอาหารหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ อาหารแต่ละอย่างมีความสอดคล้องกับวิถีชีวิตและได้รับการสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ
วันแรกที่มาถึง “น้าอ้อย” ที่มาต้อนรับพวกเราก่อนพาไปทำทำพิธีรับขวัญ ได้พูดถึงอาหาร 5 อย่าง หรือ อาหาร 5 ไห ที่จะขาดไม่ได้เลยสำหรับคนไทยทรงดำ ไหแรก : ไหหน่อส้ม ไหที่สอง : ไหมะขามเปียก ไหที่สาม : ไหปลาร้า ไหที่สี่ : ไหเกลือ ไหที่ห้า : ไหพริก
ไหหน่อส้ม หรือหน่อไม้ดอง เป็นอาหารที่ได้ยินชื่อบ่อยที่สุดตอนไปอยู่ชุมชนบ้านหัวเขาจีน “แม่ศรีไพร” บอกว่า “ไปบ้านไหน ๆ ก็ต้องมี แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เหมือนเมื่อก่อน สมัยก่อนน่ะแถบนี้เป็นป่าไปที่ไหนก็เจอแต่หน่อไม้ เราก็เก็บ ๆ มาใส่ไหไว้ สมัยนี้อะไร ๆ ก็ใช้เงิน บางบ้านที่ปลูกเองก็มี” จากคำกล่าวนี้ เห็นได้ว่าไหหน่อส้มเป็นอาหารที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อน และได้รับการสืบทอดมาเรื่อย ๆ ในอดีตพื้นที่แถบนี้เป็นป่า พบหน่อไม้มากและสามารถเก็บมาบริโภคได้ แต่ในสมัยปัจจุบันจะต้องปลูกเองไม่เช่นนั้นก็ต้องซื้อ
อาหารในวันแรกที่เราไปถึงก็มีผัดหน่อไม้ เนื่องจากเราเป็นคนไม่กินหน่อไม้ จึงถามเพื่อน ๆ ว่ารสชาติเป็นยังไงบ้าง เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าอร่อยมากทั้งที่ปกติไม่ชอบกินหน่อไม้เท่าไร แต่รอบนี้หน่อไม้รสชาติดี ไม่มีกลิ่นฉุด และไม่ฝาด เนื้อนุ่มไม่แข็ง ทำให้ทานง่าย และมาทราบจากคนท้องถิ่นในภายหลังว่าหน่อไม้ที่เอามาทำ เป็นหน่อไม้ที่ปลูกเอง
ไหปลาร้า เป็นอาหารที่คนไทยคุ้นเคยกันดี ส่วนมากคนไทยมักนำปลาร้าไปใส่ในส้มตำเพิ่มรสชาติ บางคนก็บอกว่าอร่อย แต่บางคนก็รับประทานไม่ได้เพราะเหม็นกลิ่นของมัน “แม่ยุพิน” บอกว่า “เมื่อก่อนน่ะคนไทยไม่ได้นิยมกันเหมือนตอนนี้หรอก เพึ่งมานิยมกันช่วงหลัง ๆ นี้เองส่วนเราก็ทำมานานแล้ว แล้ววิธีทำเนี่ยต้องสะอาด ทำไว้ไหเล็ก ๆ ไม่ต้องใหญ่ จะได้ดูแลเรื่องความสะอาดได้ ไม่เหมือนโรงงานที่ทำทีละเยอะ ๆ ไม่รู้มีอะไรปนไปบ้าง” เห็นได้ว่าไหชนิดนี้เป็นอาหารที่ได้รับการสืบทอดมาจากคนในอดีต อีกทั้งรู้มาว่าการทำไหปลาร้าวัตถุประสงค์แรกจริง ๆ แล้วคือทำเพื่อถนอมอาหาร กระทั่งปัจจุบันปลาร้าก็เป็นที่แพร่หลายอย่างมาก อีกทั้งชาวไทยทรงดำสมัยก่อนมีความเชื่อว่าใครที่ทำไหปลาร้าได้ดี ทำแล้วไม่เน่า จะถือว่าเป็นคนที่ทักษะทำอาหารมาก
หลังจากฟังน้าอ้อยชวนคุยเสร็จ พวกเราก็ไปทำ “พิธีรับขวัญ” ขวัญก็เหมือนดวงจิตวิญญาณที่อยู่ในร่างโดยพวกเขาเชื่อว่ามนุษย์มี 7 ขวัญ หากป่วย ไม่สบาย หรือสติไม่อยู่กับตัว หลง ๆ ลืม ๆ เชื่อกันว่ามีขวัญหายไปต้องทำพิธีเรียกขวัญกลับมา หรือตอนเราอยากทาน อยากทำอะไรสักอย่างแปลว่าขวัญอยากทำหรืออยากทานสิ่งนั้น ตอนที่ทำพิธีก็มีผลไม้ แตงโม มะม่วง แก้วมังกร มีขนมข้าวเกรียบ ขนมปัง ให้เรากิน เชื่อกันว่า หากเราทานอิ่ม ขวัญก็จะอิ่มตามไปด้วยเป็นกุศโลบายหนึ่งของคนสมัยก่อน ที่ต้องการให้เราทานข้าวให้อิ่ม เพราะหากทานข้าวไม่อิ่ม ไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิตก็ส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย ในพิธีกรรมใช้เครื่องเซ่นไหว้ในพิธีรับขวัญแตกต่างกันไปอีกด้วย พิธีรับขวัญทารกหรือเด็กเล็กจะใช้ไข่ไก่เป็นเครื่องเซ่น วัยรุ่นใช้ไก่ ผู้ใหญ่อายุ 40-50 ใช้หมู ส่วนคนชราผู้เฒ่าผู้แก่จะใช้หัวหมู แสดงให้เห็นถึงสถานะที่ต่างกันและการแบ่งแยกช่วงวัยของเด็ก-ผู้ใหญ่ เห็นได้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับช่วงอายุ
ชาวไทยทรงดำมีความเชื่อเรื่องการเคารพวิญาณบรรพบุรุษที่เสียชีวิตไป พวกเขาเชื่อว่าบรรพบุรุษไม่ได้ไปไหน แต่ยังอยู่คอยปกปักรักษาคุ้มครองพวกเขาอยู่ ในตอนที่พวกเรามาอาศัยอยู่ร่วมในบ้าน เจ้าของบ้านก็ต้องไปไหว้บอกบรรพบุรุษก่อน เพราะเชื่อว่าเป็นการแสดงความเคารพ การให้เกียรติบรรพบุรุษ หากไม่ไหว้บอกดวงวิญญาณบรรพบุรุษอาจโกรธได้ ถ้าวิญญาณบรรพบุรุษโกรธอาจทำให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น และภายในบ้านของพวกเขาจะมีสิ่งที่เรียกว่า “กะล้อห้อง” เป็นห้องให้วิญญาณบรรพบุรุษอยู่ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปในห้องโดยเด็ดขาด เข้าไปได้แค่เฉพาะลูกหลานเท่านั้น เนื่องด้วยความเชื่อเหล่านี้ทำให้พวกเขามีพิธีไหว้บรรพบุรุษเพื่อแสดงความกตัญญู เรียกว่า “พิธีเสนเรือน”ในตอนแรกพบข้อมูลในอินเทอร์เน็ตว่า พิธีนี้ต้องจัดอย่างน้อยปีละครั้ง แต่ชาวไทยทรงดำในพื้นที่กลับบอกว่าจำเป็นต้องจัดปีละครั้งเสมอไป ในยุคนี้บางบ้านก็จัด 2 ปีต่อหนึ่งครั้ง 4 ปีต่อหนึ่งครั้ง 6 ปีต่อหนึ่งครั้ง 8 ปีต่อหนึ่งครั้ง ตามแต่ความสะดวกของผู้จัด เนื่องจากจัดพิธีเสนเรือนแต่ละครั้งใช้งบประมาณค่อนข้างมาก ราว 20,00-40,000 บาท บางบ้านไม่ได้มีทุนทรัพย์มากจึงเลื่อนวันจัดพิธีออกไปได้ คนในพื้นที่ยักบอกอีกว่า “หากจัดแล้วลูกหลานไม่มีเงินเหลือบรรพบุรุษจะไม่สบายใจเอา”
การเซ่นผีผู้ต๊าว หรือ ผู้ท้าว คือผีที่มีเชื้อสายเจ้าราชวงศ์ ใช้ควาย 1 ตัว เป็นเครื่องเซ่น ส่วนการเซ่นผีผู้น้อย ผีที่เป็นวิญญาณธรรมดา จะใช้หมู 1 ตัว เป็นเครื่องเซ่น แต่ผีบรรพบุรุษก็มีข้อจำกัดตรงที่จะไหว้แค่คนที่ตายดีเท่านั้น ส่วนคนที่ตายโหงหรือตายไม่ดีจะไม่มีการทำพิธีเซ่นไหว้ จะทำพิธีศพและทำบุญ 100 วัน จะไม่ทำพิธีอื่นให้ เพราะถือว่าเป็นผีไม่ดี เห็นได้ชัดว่าคนไทยทรงดำให้ความสำคัญกับการเคารพบรรพบุรุษอย่างมาก โดยทำพิธีต่าง ๆ ให้บรรพบุรุษที่เสียชีวิตไปแล้ว แบ่งลำดับชนชั้นระหว่างราชวงศ์กับบุคคลธรรมดาโดยการใช้เครื่องเซ่นไหว้ในพิธีที่ต่างกัน และไม่เชื่อเรื่องการเกิดใหม่ เชื่อเพียงว่าผีที่ตายดีก็ไปเป็นผีบรรพบุรุษเอาเข้าบ้าน ส่วนผีที่ตายไม่ดีก็จะไม่เอาเข้าบ้าน
เราเคยได้ยินชื่ออาหารอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ คือ “ข้าวเม่าใหม่” เราไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน จึงสงสัยและถามคนไทยทรงดำในพื้นที่ ทราบว่าข้าวเม่าใหม่เป็นอาหารที่ใช้ในพิธีปาดตง พิธีนี้จะจัดขึ้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวข้าว จัดปีละครั้ง เชื่อว่าหากทานข้าวเม่าใหม่ในช่วงพิธีกรรม จะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคล โดยต้องเชิญวิญญาณบรรพบุรุษมาทานก่อน จากนั้นค่อยนำมาทานต่อ ในสมัยก่อนผู้คนจะทำข้าวเม่ากันในช่วงพิธีกรรม ไม่ได้เตรียมมาจากที่บ้าน โดยผู้หญิงจะออกมาตำข้าว บางครั้งก็มีหนุ่มมาชวนคุยมาช่วยตำบ้าง เพื่อเกี้ยวพาราสี แต่ในสมัยนี้มักจะซื้อมากกว่า
อาหารอื่น ๆ ที่น่าสนใจมี “ผักจุ๊บ” หรือที่รู้จักกันในชื่อยำผัก คนในท้องถิ่นเล่าว่า เมื่อก่อนการทำเมนูนี้มักใช้ผักที่หาได้รอบ ๆ บ้านมาทำ เมนูนี้มักเป็นเมนูอาหารที่คนไทยทรงดำใช้ประกอบพิธีต่าง ๆ หลังจากใช้ประกอบพิธีเสร็จก็จะนำมาทานต่อ จะเห็นได้ว่าวัฒนธรรมด้านอาหารของคนไทยทรงดำ สอดคล้องเชื่อมโยงกับวิถีชีวิตและ ความเชื่อสมัยก่อน และได้รับการสืบทอดกันมาเรื่อย ๆ จนถึงในสมัยนี้ มีลักษณะใช้วัตถุดิบที่หาได้ทั่วไปมาประกอบอาหาร ใช้อาหารประกอบการทำพิธีกรรมด้านความเชื่อต่าง ๆ พิธีกรรมส่วนมากมักเกี่ยวข้องกับบรรพบุรุษ อย่างพิธีเสนเรือนเป็นพิธีแสดงความเคารพบรรพบุรุษด้วยการจัดงานเซ่นไหว้ หรือพิธีอื่น ๆ มีอัญเชิญดวงวิญญาณบรรพบุรุษมาทานอาหารประกอบพิธีด้วย อาหารบางอย่างในพิธีกรรมมีลักษณะแตกต่างเพื่อบ่งบอกถึงสถานะบุคคลในลำดับขั้นที่ต่างกันอีกด้วย ตัวอย่างการไหว้บรรพบุรุษ ใช้เครื่องเซ่นต่างกันระหว่างบรรพบุรุษของราชวงศ์กับบรรพบุรุษของบุคคลธรรมดา หรือในพิธีรับขวัญก็ใช้เครื่องไหว้ต่างกันตามช่วงอายุ อาหารบางอย่างที่ต้องทำเองในพิธีอย่างพิธีข้าวเม่าใหม่ บางบ้านก็ซื้อเอาเพื่อความสะดวก วัตถุดิบเดิม อีกทั้งคนในท้องถิ่นยังบอกว่าจริง ๆ แล้วแม้เป็นอาหารเหมือนกัน แต่รสชาติไม่เหมือนกันก็มี แล้วแต่ฝีมือบางบ้าน