ความเชื่อเรื่องยักษ์ดำรงอยู่ในสังคมไทยอย่างยาวนาน ปรากฎในนิทานพื้นบ้าน ตำนานพื้นเมือง รวมทั้งวรรณกรรมซึ่งเป็นวัฒนธรรมร่วมของคนเอเชียตะวันออกอย่างรามายณะ หรือ รามเกียรติ์ ส่วนใหญ่จะเล่าถึงยักษ์ที่ดุร้าย เป็นตัวมาร หรือฝ่ายผู้ร้ายที่มุ่งเป็นศัตรูคู่ตรงข้ามกับฝ่ายพระ(เอก) สังคมไทยรับรู้เรื่องยักษ์จากตำนานข้างต้น รวมทั้งตำนานศาสนาต่างๆ ภาพจำยักษ์ที่สังคมไทยจดจำ คือยักษ์ในละครพื้นบ้าน หรือหน้ากากยักษ์ในการแสดงโขนเรื่องรามเกียรติ์
“ยักษ์” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 เป็นอมนุษย์พวกหนึ่ง ถือกันว่ามีรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว มีเขี้ยวงอก ใจดำอำมหิต ชอบกินมนุษย์ กินสัตว์ โดยมากมีฤทธิ์เหาะได้ จำแลงตัวได้, บางทีใช้ปะปนกับคำว่า อสูร รากษส และมาร อาศัยอยู่ตามถ้ำ ตามภูเขา ในน้ำ ในดิน ในอากาศ และมีวิมานอยู่ที่เขาสิเนรุในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา พวกยักษ์จะอยู่ในการปกครองของท้าวเวสสุวรรณ หรือท้าวกุเวรมหาราช ผู้ปกครองสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาด้านทิศเหนือ
จากการนิยามความหมาย "ยักษ์" ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 ข้างต้น คำว่ายักษ์ กับ มาร เป็นชื่อเรียกและภาพจำที่ผู้คนรู้จัก และเข้าใจ แต่คำว่า "รากษส" คืออะไร คำว่า ยักษ์ อสูร และรากษส ต่างหรือเหมือนกันอย่างไร แต่ก่อนที่จะไปรู้จักรากษส เรามาทำความรู้จักกับยักษ์ก่อน
ยักษ์เพศชาย เรียกว่า ยักษะ(yakṣa) เพศหญิงเรียกว่า ยักษี (yakṣa) หรือ ยักษิณี (yakṣiṇe) บางทีใช้ปะปนกับคําว่า อสูร (asūra) กุมภัณฑ์ (kumbhaṇḍa) คุหยัก (guhyaka) แทตย์ (daityas) หรือทานพ (Danavas) รากษส (rākṣasas) และมาร (māra) จัดเป็นอมนุษย์กึ่งเทพพวกหนึ่ง มีการกล่าวถึงทั้งในทางศาสนาและวรรณคดี ปรากฏในคัมภีร์ศาสนาพุทธ และพราหมณ์ มีฐานะเป็นเทพบริวาร และเทพผู้พิทักษ์รักษาศาสนาและศาสนสถาน
การบังเกิดขึ้นของยักษ์ เกิดได้ 3 แบบ คือแบบโอปปาติกะ คือเกิดปุ๊บก็มีรูปร่างใหญ่โตเลย เกิดแบบชลาพุชะ คือเกิดในครรภ์มารดาเหมือนมนุษย์ มีพ่อแม่ เมื่อยักษา ยักษีเกิดความพอใจ แต่งงานกัน จากนั้นก็อยู่ร่วมกันเหมือนมนุษย์ แล้วก็ตั้งครรภ์ให้กำเนิดลูกเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง และแบบที่สาม คือ เกิดแบบสังเสทชะคือ ยักษ์จะเอามือถูเหงื่อไคล พอถูกส่วน ปฏิสนธิวิญญาณที่มีวิบากกรรมร่วมกันมา ก็จะมาอุบัติเกิดเป็นยักษ์ทันที
ยักษ์ตามความเชื่อทางศาสนาพราหมณ์ คืออมนุษย์ผู้น่ากลัว สามารถทำอันตรายแก่มนุษย์ได้ มนุษย์ต้องทำการบูชาเซ่นสรวงต่อยักษ์เพื่อแสดงความเรารพ และขอให้ยักษ์ช่วยปกป้องสมบัติล้ำค่า ของมีค่าโบราณและอีกนัยหนึ่งก็แฝงไปด้วยหน้าที่เป็นเทพผู้ที่ทำหน้าที่คอยพิทักษ์ รักษาพระพุทธศาสนาสืบต่อไปตราบนานเท่านานยักษ์ตามความเชื่อในพระพุทธศาสนาสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ
1. ยักษ์เทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา สามารถเป็นอริยบุคคลชั้นโสดาบันได้ ถ้าทำความดีปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า บทบาทของยักษ์ที่เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ปรากฎในพระไตรปิฎกและอรรถกถา คือ ช่วยเหลือพระพุทธเจ้าในการประกาศพระศาสนา และช่วยให้กิจกรมทางพระพุทธศาสนาลุล่วงไปด้วยดี อีกทั้งสนับสนุนอุบาสกและอุบาสิกาให้บรรลุธรรมและเป็นทูตของพระยมที่มาลงโทษคนทำชั่ว เป็นผู้ที่มนุษย์ควรบูชาเซ่นสรวงในฐานะเทพผู้ปกครองเมือง เขต แขวง ทะเลสาบ หรือบ่อน้ำ เป็นเทพผู้พิทักษ์โลก เป็นผู้อารักขาทรัพย์ (แร่ธาตุและอัญมณี) ที่ซ่อนอยู่ในดิน
2. ยักษ์ที่ไม่เป็นพุทธศาสนิกชนมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ คือ เป็นพวกดุร้าย มีจิตริษยา อาฆาต เบียดเบียนมนุษย์ เป็นภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณร้ายที่หลอกหลอน เป็นผู้มารบกวน ทำอันตรายมนุษย์โดยวิธีต่าง ๆ ดังนั้นในพระพุทธศาสนาจึงมีความเชื่อว่า การสวดพระปริตต์จะป้องกันมิให้ยักษ์มาทำอันตรายได้
พุทธศาสนาแบ่งประเภทยักษ์ เป็นหลายระดับ ตั้งแต่ยักษ์ชั้นสูง ยักษ์ชั้นกลาง และยักษ์ชั้นล่าง มีความละเอียดปราณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของยักษ์แต่ละตน ยักษ์แบ่งเป็น ๓ ประเภทใหญ่ๆ
1.ยักษ์ชั้นสูง อากาสัฏฐเทวดา เป็นยักขเทวดาที่อาศัยอยู่ในอากาศ มีวิมานทองลอยอยู่ในอากาศ ยินดีในการรักษาศีล จะแต่งชุดขาว ผิวพรรณวรรณะผ่องใส มีรัศมีกายที่สว่างไสว หน้าตาก็ไม่น่ากลัว เป็นยักษ์ใจดี มีรูปร่างสวยงาม มีเครื่องประดับ มีรัศมี บ้างก็มีผิวดำ ดำอมเขียว ดำอมเหลือง ดำแดง หรือดำเนียน มีอาหารทิพย์ มีบริวารคอยรับใช้ ปกติจะไม่ปรากฏเขี้ยวให้เห็น เว้นแต่เวลาโกรธ
2.ยักษ์ชั้นกลาง ปัพพตัฏฐเทวดา เป็นเทวดาอยู่ตามป่าเขา ยักษ์พวกนี้มีรูปร่างกำยำ มือถือกระบองใหญ่ ทำหน้าที่รักษาทรัพย์ในดิน รักษาป่าและภูเขา
3.ยักษ์ชั้นล่าง อาศัยอยู่ตามแม่น้ำ สระน้ำ เรียกว่า รากษส มีรูปร่างน่าเกลียด ตัวโต ผมหยิก ตัวดำ หน้าแดง ตาโปน ท้องเขียว มือเท้าแดง เขี้ยวใหญ่ เท้าคด ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย เป็นพวกที่ดุร้าย ชอบกินเนื้อสัตว์ ในสมัยพุทธกาล พระภิกษุจำนวนมากเมื่อต้องปฏิบัติกรรมฐาน มักจะหลีกจากหมู่คณะไปบำเพ็ญสมณธรรมในป่าซึ่งเป็นถิ่นที่อยู่ของยักษ์ชั้นต่ำ หรือ รากษส ยักษ์พวกนี้ดุร้าย ชอบทำปาณาติบาต ยักษ์บางพวกมีอาณาเขตเป็นของตน มนุษย์หรือสัตว์ถ้าหลงเข้าไปในอาณาเขตยักษ์ก็จะถูกจับกินเป็นอาหาร
รากษส
ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 “รากษส” [รากสด] น. ยักษ์ร้าย, ผีเสื้อนํ้า, เป็นพวกอสูรชั้นต่ำ มีนิสัยดุร้าย ในคัมภีร์โลกทีปกสารว่า เป็นบริวารของพญายม, ในคัมภีร์โลกบัญญัติว่า เป็นบริวารของพระวรุณ, ใช้ รากโษส ก็มี. (ส.; ป. รกฺขส).
รากษสมีรากศัพท์จาก (สันสกฤต: राक्षस [รักษะ] ; บาลี: รกฺขส) แปลว่าดูแล(รักษา) เป็นยักษ์หรืออสูรชั้นต่ำ ถ้าอยู่ในนํ้า เรียกว่า ผีเสื้อนํ้า ถ้าอยู่รักษาเมือง เรียกว่า พระเสื้อเมือง รากษสเป็นยักษ์หรืออสูรจำพวกหนึ่งซึ่งมีทั้งดี และ ชั่ว มักเป็นศัตรูกับเทวดา อาศัยอยู่ตามป่าช้า ชอบกวน สมณะ ชีพราหมณ์ในขณะทำพิธี หรือขณะตั้งใจทำสมาธิ และชอบรบกวน และทำร้ายมนุษย์โดยวิธีการต่างๆ จะชอบเข้าสิงซากศพ กินคน กำเนิดรากษสปรากฎในตำนานและเรื่องเล่าต่างๆ มากมายทั้งตำนานที่เกี่ยวเนื่องกับศาสนาและวรรณคดี ดังนี้
ตำนานศาสนาฮินดูเชื่อว่าเหล่ารากษสเกิดจากพระบาทของพระพรหมา ในวิษณุปุราณะระบุว่าเป็นลูกของพราหมณ์รากษะ ผู้เป็นบุตรพระกัศยปมุนีกับนางขศา รากษสมีเขี้ยว 2 อัน งอกลงมาจากฟันบน มีอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ แปลงกายและสร้างภาพมายาได้ มีนิสัยชอบดื่มเลือด และกินมนุษย์ รากษสมีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายร้าย
ในคัมภีร์ฤคเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์เล่มแรกในวรรณคดีพระเวท แต่งขึ้นเมื่อราว 3000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกล่าวถึงรากษสไว้ว่า รากษสมีรูปร่างเป็นสัตว์บ้าง เป็นมนุษย์บ้าง เมื่อมีการทำพิธีบูชาใดๆ มักเป็นตัวทำลายล้าง ทั้งทำลายพิธี และทำร้ายตัวผู้ประกอบพิธี
ในคัมภีร์ปัทมะปุราณะ หนึ่งในมหาปุราณะ 18 คัมภีร์ ผลงานของพราหมณ์นิกายไวยณพ ซึ่งนับถือพระวิษณุ หรือพระนารายณ์เป็นเทพเจ้าสูงสุดก ล่าวถึงรากษสไว้ว่า รากษสเป็นพวกรักสันติไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีความรู้สูง เหตุที่ชื่อว่ารากษสเพราะได้ฉายามาจากบรรพบุรุษ
คัมภีร์วิษณุปุราณะของศาสนาฮินดู กล่าวว่า รากษสเกิดจากรากษะพราหมณ์ซึ่งเป็นโอรสของพระกศปและนางขศา
ตำนาน “เทวาสุรสงคราม” คือสงครามระหว่างเทวดากับอสูร ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเก่าแก่ทางศาสนานับพันปีทั้งของพุทธและพราหมณ์ เล่าว่า พวกอริยกะ (เทวดา) ได้พบกลุ่มคนป่า (อสูร,รากษส) ในมัธยมประเทศ และได้ทำสงครามระหว่างเทวดากับอสูร
ตำนานพุทธศาสนา เล่าว่า รากษสเป็นยักษ์เฝ้าแหล่งน้ำ เป็นบริวารท้าวเวสสุวรรณ เมื่อผู้ใดลงไปในแหล่งน้ำที่ตนเฝ้าอยู่สามารถจับกิน อีกตำนานเชื่อว่า รากษสคือกุมภัณฑ์ มีหน้าที่รักษาสมบัติ หากใครล่วงล้ำเข้ามาขโมย จะจับผู้นั้นกินเสีย รากษสอีกพวกหนึ่งจะอยู่รักษานรกภูมิ มักจำแลงกายเป็นยมบาล กา สุนัข แร้ง คอยลงโทษและจับสัตว์นรกกิน
ในศกุลตลา ต้นกำเนิดมหากาพย์มหาภารตะ บันทึกไว้ว่า รากษส เป็นอสูรที่มีทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว ชอบอาศัยป่าช้าอยู่เป็นอริกับเหล่าเทวดา มักชอบทำลายพิธีพราหมณ์ ในขณะทำพิธี และมักชอบสิงซากศพ กินคน ให้ร้ายแก่มนุษย์
ตำนานในรามายณะ กล่าวไว้ว่าเมื่อพระพรหมทรงสร้างน้ำขึ้นมาแล้ว ทรงสร้างภูติ [รากษส] ขึ้นมาอีกจำนวนหนึ่ง ให้มีหน้าที่รักษาน้ำทั้งปวง ( รากษส มูลมาจากคำว่า รักษา )ในรามเกียรต์เล่าว่า เดิมทีพระวิศวกรรมสร้างกรุงลงกาขึ้นเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกรากษส ต่อมาถูกพญาราพณ์ ( ทศกัณฐ์ ) ยึดครอง และได้เป็นราชาของเหล่ารากษส ทำให้พวกรากษสเหิมเกริมเที่ยวรังควาญสร้างความเดือดร้อนไปทั่ว จนพระรามเสด็จลงมาปราบจึงสงบได้
รากษสในตำนานและเรื่องเล่าต่างๆ มักมีชื่อเรียกซึ่งบอกลักษณะ หรือ พฤติกรรม เช่น อนุศรอัศร (ผู้ฆ่าหรือ ทำร้าย) อิษฎิปัจ (ผู้ขโมยเครื่องสังเวย) นักตัญจร (ผู้เที่ยวไปในเวลากลางคืน) นฤชัคธ์ (กินคน) กราพยาท (กินเนื้อ) รักตป (ผู้กินเลือด) ทันทศุก (ผู้กัด) ปรฆัส (ตะกละ) มลินมุข (หน้าดำ)
โดยสรุป รากษส มีกำเนิดแบบสังเสทชะ [คือยักษ์จะเอามือถูเหงื่อไคล พอถูกส่วนปฏิสนธิวิญญาณที่มีวิบากกรรมร่วมกันมา ก็จะมาอุบัติเกิดเป็นยักษ์] เป็นเป็นยักษ์ชั้นล่างหรืออสูรชั้นต่ำที่ไม่ศรัทธาในพุทธศาสนา รูปร่างน่าเกลียด ผมหยิก ตัวดำ ตาโปน ผิวหยาบเหมือนกระดาษทราย เป็นพวกดุร้าย มีจิตริษยา อาฆาต มักเบียดเบียนมนุษย์ เป็นภูติ ผี ปีศาจ วิญญาณร้ายที่คอยหลอกหลอน มารบกวน และทำอันตรายมนุษย์โดยวิธีต่าง ๆ ชอบดื่มเลือด และกินมนุษย์ ถ้าอยู่ในนํ้า เรียกว่า ผีเสื้อนํ้า เป็นยักษ์หรืออสูรเฝ้าแหล่งน้ำ เฝ้ารักษาสมบัติ และรักษาเมืองนรก คอยลงโทษและจับสัตว์นรกกิน