ณภัทร ปวงกิจจา ( 640310026 )
นพพร ส่องแก้ว ( 640310048 )
แหล่
แหล่ นับเป็นเพลงพื้นบ้านที่ประเภทหนึ่งมีลักษณะเหมือนการเทศน์ที่ใช้เสียงและทำนองตามฉันทลักษณ์แบบร้อยกรอง เนื้อหาคำร้องมีความคล้องจอง มุ่งเน้นความไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว และส่วนใหญ่แล้ว เนื้อหามักมีความเกี่ยวข้องกับคำสอนทางพระพุทธศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี และปรัชญา ตลอดจนคำสอนที่สะท้อนถึงค่านิยมและวิถีชีวิตของสังคมในช่วงนั้น ซึ่งอาจสอดแทรกความบันเทิงหรือประยุกต์เนื้อหาที่มีความร่วมสมัยเข้ามาประกอบการแหล่ด้วยก็ได้ตามกลวิธีของหมอขวัญหรือผู้เทศน์แหล่คนนั้นเป็นผู้ประพันธ์
การแหล่ สันนิษฐานว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีการวิวัฒนาการมาจากการเทศน์มหาชาติ พบในกลุ่มชนไต-ไท ลุ่มน้ำเจ้าพระยาและลุ่มน้ำโขง โดยเชื่อว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีขึ้นในพื้นที่บริเวณภาคเหนือของไทยก่อน แล้วจึงแพร่หลายลงมาทางใต้ การแหล่เป็นรูปแบบของการแสดงธรรมสั่งสอนในทางศาสนาที่ถูกจัดอยู่ในการเทศน์รูปแบบ “โฆสัพปมาณิกา” ที่เป็นการเทศน์ที่ใช้เสียงและคำพูดที่มีความไพเราะประกอบกับท่วงทำนองในการแสดงหลักธรรมอันเป็นที่ยกย่องสรรเสริญ การเทศน์แหล่มักจัดอยู่ในพื้นที่ของวัดหรือศาสนสถานในช่วงที่มีงานบุญสำคัญประจำเดือน (ฮีต 12) และพื้นที่ที่ไม่ใช่ศาสนสถาน อาทิ พื้นที่ภายในบริเวณบ้านของเจ้าภาพผู้จัดพิธี ทั้งนี้ การจัดการแหล่สามารถจัดขึ้นในสถานที่ที่เห็นสมควรว่ามีความเหมาะสม โดยสถานที่ดังกล่าวเปรียบเสมือนการสร้างพื้นที่สมมติขึ้นมา เพื่อเปลี่ยนหน้าที่เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสามารถดำเนินการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาได้ตามคติความเชื่อ ปัจจัยนี้จึงกลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นศาสนสถาน อาจกล่าวได้ว่าพื้นที่ที่มีความประสงค์ในการจัดพิธีกรรมทางศาสนาใช้การเทศน์เป็นเสมือนเครื่องมือที่เปลี่ยนคุณค่าของพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ทางศาสนา และเป็นการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมและสำนึกร่วมของคนในชุมชนเข้าด้วยกันผ่านการสั่งสอนที่แฝงรูปแบบของความบันเทิงแบบพื้นบ้าน เข้าถึงง่าย และได้ข้อคิด
สุจิตต์ วงษ์เทศ ผู้เป็นกวี และนักเขียนด้านศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ได้แสดงทัศนะสอดคล้องในเรื่องของที่มาของการเทศน์ที่ใช้ทำนองขับขานในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยกล่าวถึงการใช้ภาษาตระกูลไทย-ลาว ที่เด่นในการเล่นคำคล้องจองสอดแทรกอยู่ในภาษาในชีวิตประจำวันอยู่เสมอ การสร้างคำที่มีสัมผัสคล้องจองดังกล่าว ต่อมาก็ได้ถูกพัฒนากลายมาเป็นร้อยแก้ว ร้อยกรอง จนถึงทำนองการสวดและการเทศน์อย่างที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นที่สังเกตได้ว่ารูปแบบการใช้ภาษาและคำคล้องจองนั้น เป็นกลวิธีหนึ่งซึ่งทำให้รูปแบบของการเทศน์มีความไพเราะและดึงดูดความสนใจของผู้ฟังให้เกิดการติดตามฟังเนื้อหาการเทศน์อย่างต่อเนื่อง เกิดความบันเทิงและเข้าใจในสารที่จะสื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเทียบกับการเทศน์แบบร้อยแก้ว เนื่องจากเนื้อหาที่มีความยาวและใช้เวลานานอาจทำให้ผู้ฟังเกิดความเบื่อหน่ายและไม่สนใจฟังได้
ปัจจุบัน การแหล่อาจไม่เป็นที่แพร่หลายในสังคม แต่กระนั้นวัฒนธรรมของการแหล่นั้นก็ยังคงปรากฏในรูปแบบที่มีความร่วมสมัย ทั้งในรูปแบบของการเทศน์แหล่ในวัดและการเทศน์แหล่ของศิลปินหมอขวัญที่มีชื่อเสียงและได้เปลี่ยนรูปแบบของการแหล่เป็นความบันเทิงรูปแบบหนึ่ง ซึ่งยังคงเอาไว้ด้วยจุดประสงค์ดั้งเดิม คือ การสอนที่ยังคงคุณค่าของคติธรรม ความรู้ทางด้านวัฒนธรรม และวิถีชีวิตที่มีความร่วมสมัยกับสังคมปัจจุบันอย่างแยบยล แม้จะฟังดูเหมือนเป็นวัฒนธรรมเก่าที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักหรือพบเห็นแล้ว แต่ด้วยคุณค่าภายในตัวของการแหล่เต็มไปด้วยทักษะ กลวิธี และการประยุกต์ที่ทำให้คนธรรมดาสามารถเข้าถึงรูปแบบของคำสอนทางศาสนาได้โดยตรงผ่านการใช้ศิลปะทางวรรณศิลป์และวาทศิลป์จนเกิดเป็นความสุนทรีย์และยินดีในสิ่งที่ได้ฟัง ดังนั้น การแหล่ก็นับว่าสมควรแล้วที่ควรจะกลายเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรให้ความสนใจและควรได้รับการอนุรักษ์สืบต่อไป
ข้อมูลอ้างอิง
ธนิต อยู่โพธิ์. (2514). ตำนานเทศน์มหาชาติและแหล่เครื่องเล่นมหาชาติ บางแหล่. อนุสรณ์ในงานฌาปนกิจศพ นางสาธกธนสาร (สง่า หวังในธรรม).
พระนคร ปญฺญาวชิโร. (2557). วิถีเทศน์ในล้านนา. ห้างหุ้นส่วนจำกัดซีเอ็มมีเดีย.
วัชรวุธ ศรีภูมิกุล และจารุวรรณ ธรรมวัตร. (2564). การเทศน์แหล่อีสาน: กลวิธีทางภาษาและการสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์นอกวัด [วิทยานิพนธ์ปริญญาโท]. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.
วรางคณา เล้าธนะธรรม. (2545). ลักษณะเด่นและคุณค่าในเพลงแหล่ของ ทศพล หิมพานต์. ไม่ปรากฏชื่อวารสาร, 23(1), 45-49.