การกลายเป็นเมือง (urbanization) เป็นรูปแบบหนึ่งของการผสมผสานรังสรรค์ทางวัฒนธรรม เป็นกระบวนการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่อยู่คู่กับการวิวัฒนาการของสังคมมนุษย์มาตั้งแต่ยุคโบราณ เข่น เมืองยุคแรกในลุ่มแม่น้ำสินธุ ในดินแดนเมโสโปเตเมีย อียิปต์ กรีกและโรมัน เป็นต้น และนับวันจะแผ่ขยายขอบเขตอิทธิพลมากขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะตั้งแต่ยุคหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรมเป็นต้นมา ในช่วงแรกของการกลายเป็นเมืองจะจำกัดอยู่ในพื้นที่สำคัญที่มีบทบาทในเชิงการปกครอง การผลิตและการขนส่ง หากแต่ในยุคหลัง การกลายเป็นเมืองได้แผ่ขยายออกไปตามปริมณฑลของเมือง และตามเส้นทางติดต่อคมนาคมระหว่างเมือง ทำให้ครอบคลุมพื้นที่มากขึ้นกว่ายุคแรก
การกลายเป็นเมืองส่งผลต่อสังคมทั้งในระดับมหภาคและจุลภาค นั่นคือ ในระดับมหภาค เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางกายภาพ เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงนิเวศจากความสัมพันธ์ระหว่างประชากรเมืองกับการใช้พื้นที่ของเมือง นำไปสู่การจัดระเบียบทางสังคมที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากเดิม ท่ามกลางความสลับซับซ้อนของความหลากหลายของประชากรที่อพยพย้ายถิ่นเข้ามาสู่เมือง ในระดับจุลภาค การกลายเป็นเมืองได้นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ผู้คนที่ดำเนินชีวิตในพื้นที่ มีการเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต ทัศนคติ ค่านิยม พฤติกรรมในแบบเมือง ทั้งในความเป็นปัจเจก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและระหว่างกลุ่มภายในเมือง
องค์การอนามัยโลกได้รายงานถึงสัดส่วนประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองในปัจจุบันพบว่า ประชากรโลกกว่าร้อยละ 50 อาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง และมีการคาดการณ์ว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาจากตัวเลขเมื่อ ค.ศ. 1990 พบประชากรโลกอาศัยอยู่ในเมืองเพียงร้อยละ 30 เท่านั้น และเพิ่มเป็นร้อยละ 50 ใน ค.ศ. 2010 โดยคาดการณ์ว่า ใน ค.ศ. 2030 จะมีประชากรโลกอาศัยอยู่ในเมืองถึงร้อยละ 60 และจะเพิ่มเป็นร้อยละ 70 ใน ค.ศ. 2050
ประเทศไทยก็เป็นอีกหนึ่งประเทศที่ประสบกับการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ซึ่งในปัจจุบันได้ถูกนิยามว่าเป็นเมือง “อภิมหานคร” (Megacities) แห่งหนึ่งของโลก กรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางสำคัญของประเทศไทยในทุกด้าน ทั้งการปกครอง การบริหาร เศรษฐกิจ การศึกษา สังคม วัฒนธรรม การบริการด้านต่าง ๆ ทั้งยังเป็นเมืองใหญ่ที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีผู้คนจากภูมิภาคต่าง ๆ หลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ทั้งอยู่อาศัยชั่วคราวและตั้งหลักแหล่งถาวร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ทำให้กรุงเทพมหานครกลายเป็นเมืองที่ต้องรับภาระหนักในการบริการประชาชนอย่างต่อเนื่องและเสมือนไม่มีวันสิ้นสุด เป็นผลให้ต้องเร่งสร้างสาธารณูปโภคและสาธารณูปการเพื่อตอบสนองให้ทันกับความต้องการของประชาชน อย่างไรก็ตาม การพัฒนาของภาครัฐยังไม่ทันต่อการเติบโตของภาคเอกชน ทำให้เกิดการขยายตัวของชุมชนเมืองขึ้นกระจัดกระจายในทุกพื้นที่ โดยขาดการวางระบบและการควบคุมอย่างรัดกุมของภาครัฐ การวางหรือปรับปรุงผังเมืองให้สอดคล้องกับการเติบโตของเมืองอย่างทันการณ์หรือทั่วถึงยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์ที่ดินหลายประเภทผสมผสานกันอยู่ทั่วไป และกลายเป็นสาเหตุของปัญหาต่าง ๆ ที่กรุงเทพมหานครเผชิญอยู่ในปัจจุบัน
ปัญหาการสูญเสียพื้นที่เกษตรกรรมชานเมืองเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกรุงเทพมหานครมาช้านาน โดยในกรณีของฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาหรือฝั่งธนบุรี พื้นที่บริเวณนี้เป็นดินดอนปากแม่น้ำ เป็นผืนดินที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การเพาะปลูกพืชพรรณต่าง ๆ โดยเฉพาะการทำสวนที่โดดเด่นอย่างมากในฝั่งธนบุรี เป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญหล่อเลี้ยงคนในพระนครมาตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่ด้วยการเจริญเติบโตของบ้านเมืองที่มีมากขึ้นตามกาลเวลา ฝั่งธนบุรีได้กลายเป็นเขตรองรับการขยายตัวของเมืองจากฝั่งกรุงเทพ มีผู้คนอพยพย้ายถิ่นเข้ามาเพิ่มมากขึ้น สมทบกับผู้ที่อยู่อาศัยเดิม โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงการกำหนดใช้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 5 (พ.ศ. 2525 – 2529) ที่ถูกใช้ควบคู่ไปกับแผนพัฒนากรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่มุ่งลดความหนาแน่นของเขตชั้นใน กระจายเขตอุตสาหกรรม แรงงาน และสาธารณูปโภค มาสู่ฝั่งธนบุรีและชานเมืองมากขึ้น
การขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็วในกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้ชุมชนชาวสวนในย่านฝั่งธนบุรีได้เปลี่ยนแปลงไป ทั้งสภาพเศรษฐกิจ ผังเมือง และผู้คน โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรมลง แม่น้ำลำคลองเน่าเสียและถูกถมทิ้งเป็นจำนวนมาก นายทุนเข้ากว้านซื้อที่ดินเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของประชากรที่หนาแน่น รองรับอุตสาหกรรม ห้างร้าน และสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ทั้งยังมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“การเคลื่อนที่” ของการกลายเป็นเมือง จากชุมชนเกษตรกรรมไปสู่การเป็นอภิมหานคร (Megacities) ของกรุงเทพมหานคร ส่งผลให้เกิดการสูญสลายของสภาพพื้นที่สวนและวิถีชีวิตชาวสวนฝั่งธนบุรีไปเรื่อย ๆ กระทั่งวันหนึ่งจะเป็นเพียง “ความทรงจำ” ที่นับวันจะ “ลบเลือน” หายไปตามกาลเวลา
ชุมชนใน “ย่านบางอ้อ” เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ก็เป็นอีกหนึ่งชุมชนที่เป็นตัวอย่างของ “การเคลื่อนที่” ตามการพัฒนาของกรุงเทพมหานคร ชุมชนบางอ้อเป็นชุมชนชาวสวนที่เก่าแก่แห่งหนึ่งของฝั่งธนบุรี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งตะวันตก เดิมเป็นย่านสวนผลไม้นานาชนิด มีลำน้ำคูคลองมากมาย ที่ลาดชายตลิ่งปกคลุมหนาแน่นไปด้วยพันธุ์ไม้น้ำ โดยเฉพาะต้นอ้อ อันเป็นที่มาของชื่อ 'บางอ้อ' นั่นเอง
ความเป็นมาชุมชนของย่านบางอ้อ คาดว่ามีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี จนเมื่อคราวเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2310 ผู้คนจากกรุงเก่าอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านบางอ้อเพิ่มมากขึ้น ชื่อของย่านยังเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ปรากฏอยู่ใน ‘นิราศวัดเจ้าฟ้า’ ซึ่งประพันธ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ด้วยเหตุของการอพยพเข้ามาของผู้คนหลายระลอก ทำให้บางอ้อเป็นย่านที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ผู้คน ชุมชน วัฒนธรรม ทั้งไทยพื้นถิ่น จีน มอญ และโดยเฉพาะ ‘มุสลิม’ ซึ่งมีถิ่นฐานอยู่รวมกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ และเป็นชุมชนเก่าแก่ที่อยู่กันมาอย่างยาวนาน มีมัสยิดเป็นศูนย์กลางของชุมชน มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ชิดติดกันโดยรอบ ตามรูปแบบและคำสอนของศาสนาอิสลาม
แต่เดิมชุมชนบางอ้อ เป็นพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาตั้งแต่ปากคลองจนถึงปลายคลอง ในเชิงกายภาพฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ หรือฝั่งธนบุรี บางอ้อจะอยู่บนสุดของฝั่งธนบุรี เพราะถ้าข้ามไปจะเป็นบางกรวย-นนทบุรี ซึ่งหากดูจากแผนที่จะเห็นความถี่ของคลองชัดมาก ว่าในบริเวณนี้มีคลองจำนวนมาก ตั้งแต่คลองวัดละมุด คลองเตย คลองบางอ้อ คลองสะพานยาว คลองมอญ คลองเตาอิฐ คลองบางรัก คลองบางพลัด คลองบางพระครู คลองมะนาว คลองสวนพริก คลองบางพลู ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดเครือข่ายคลองเหล่านี้คือแม่น้ำ ทำให้ผู้คนที่อยู่ในบริเวณนี้มีวิถี-อาชีพที่ผูกพันกับคลอง โดยดั้งเดิมเป็นชาวสวน มีการจัดการน้ำ-ดิน เกิดภูมิปัญญาสวนท้องร่อง ทำให้ที่นี่เป็นสวนผลไม้ที่อุดมสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม เนื่องด้วยการเข้ามาของความเจริญด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะเส้นทางคมนาคมต่าง ๆ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอย่างหนึ่งในย่านบางพลัด-บางอ้อ โดยถนนเส้นที่สำคัญที่สุดในย่านนี้คือ ถนนจรัญสนิทวงศ์ ที่ได้มีการก่อสร้างและลาดยางมะตอยสร้างเป็นถนนสองเลน ทำให้เกิดการพัฒนาถนนจรัญสนิทวงศ์เป็นเส้นทางคมนาคมหลัก สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือเกิดการสร้างตึกแถว โดยมีตึกแถวที่สำคัญอย่างเช่น ตึกแถวของตระกูลมานะจิตต์ รวมถึงการเข้ามาของรถโดยสารประจำทางสายต่าง ๆ ทำให้เกิดการพัฒนา สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับพื้นที่และวิถีชีวิตของคนภายในชุมชนอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจัยหนึ่งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดก็คือ การเข้ามาของรถไฟฟ้าและทางด่วน ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงในเชิงกายภาพที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้นายทุนเริ่มเข้ามาสร้างโครงการที่อยู่อาศัยคอนโดมิเนียมต่างๆ เป็นจำนวนมาก เกิดการเปลี่ยนแปลงจากพื้นที่เดิมที่เป็นย่านสวนท้องร่อง กลายเป็นที่แหล่งอยู่อาศัยหนาแน่น มีตึกสูงของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ส่งผลให้วิถีชีวิตชาวสวนดั้งเดิมของชาวชุมชนบางอ้อถูกเปลี่ยนแปลงและ “ลบเลือน” ไป
ด้วยเหตุนี้ ทางคณะผู้จัดทำจึงได้พัฒนา “โครงการพัฒนาสื่อวีดิทัศน์ดิจิทัลและสื่ออินโฟกราฟิก เรื่อง ‘ลบเลือน เคลื่อนที่ ความทรงจำ และการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตชุมชนชาวสวนบางอ้อ กรุงเทพมหานคร’” ขึ้น เพื่อพยายามจะบันทึกและเผยแพร่ร่องรอย “ความทรงจำ” วิถีชีวิตชาวสวนบ้างบางอ้อ ท่ามกลาง “การเคลื่อนที่” อย่างเป็นมหพลวัตของการพัฒนากรุงเทพมหานคร