ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะยุติปัญหาเอดส์ภายในปี พ.ศ. 2573 สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การอนามัยโลก โดยการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์แห่งชาติว่าด้วยการยุติปัญหาเอดส์ พ.ศ. 2560 - 2573 มีเป้าหมายหลัก 3 ประการ คือ ไม่ติด ไม่ตาย ไม่ตีตรา โดยจะลดการติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ เหลือปีละไม่เกิน 1,000 ราย ลดการเสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ เหลือปีละไม่เกิน 4,000 ราย และลดการเลือกปฏิบัติอันเกี่ยวเนื่องจากเอชไอวีและเพศสภาวะลงเหลือไม่เกินร้อยละ 10
สถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทย ปี 2565 คาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวี จำนวน 561,578 คน (ข้อมูลจาก Thailand Spectrum-AEM, 27 เม.ย. 66) และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่รู้สถานะการติดเชื้อของตนเอง จำนวน 507,009 คน คิดเป็นร้อยละ 90 (ข้อมูลจากระบบสารสนเทศการให้บริการผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์แห่งชาติ) ซึ่งมีผู้ติดเชื้อจำนวนไม่น้อยที่ยังไม่ทราบสถานะการติดเชื้อของตนเองและยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม โดยพบมีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ 10,972 คน และคาดประมาณผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ 9,230 คน ซึ่งเป็นกลุ่มอายุ 15-24 ปี จำนวน 4,379 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 47.44 นอกจากนี้ ข้อมูลการเฝ้าระวังพฤติกรรมที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชไอวีปี 2562 พบว่ากลุ่มอายุ 15-24 ปี มีอัตราการใช้ถุงยางอนามัยครั้งล่าสุดที่มีเพศสัมพันธ์เพียงร้อยละ 80 และใช้ถุงยางอนามัยอย่างสม่ำเสมอทุกครั้งกับแฟนและคนรักไม่ถึงร้อยละ 40 ขณะที่สถานการณ์การตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากเอชไอวีจากข้อมูลการสำรวจสถานการณ์เด็กและสตรีในประเทศไทย (MICS) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ.2562 พบว่าประชาชนไทย ร้อยละ 26.7 มีทัศนคติการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งทัศนคติเชิงลบนี้ยังไม่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผลการสำรวจปี พ.ศ. 2558-2559 ที่เท่ากับร้อยละ 26.1
จากสถานการณ์โรคเอดส์ในประเทศไทยจะเห็นได้ว่าปัญหาเรื่องโรคเอดส์นับเป็นปัญหาด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่ต้องเร่งแก้ไขโดยเร็ว ซึ่งในการดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมายที่กำหนด ต้องอาศัยผู้ปฏิบัติงานด้านสาธารณสุขในระดับพื้นที่ทั้งภาครัฐ และภาคประชาสังคม และผู้ปฏิบัติงานสาธารณสุขทุกระดับ โดยเฉพาะผู้ปฏิบัติงานสาธารณสุขในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ที่ปฏิบัติงานใกล้ชิดชุมชน ให้บริการประชาชนอย่างครอบคลุมตั้งแต่การส่งเสริม ป้องกัน รักษา ฟื้นฟูสุขภาพ และสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนการดำเนินงาน ส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องโรค เข้าถึงการตรวจคัดกรองเพื่อทราบสถานะการติดเชื้อของตนเอง สามารถป้องกันและรักษาโรคได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม