หน้ากากหัวเสือ
จัดแสดง ณ นิทรรศการนานาหน้ากากทางมานุษยวิทยา ชั้น 2 ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร
ผลิตโดยคณะขุนพลเจริญพร
(ทางคณะเล่าว่าหน้ากากหัวเสือชิ้นนี้ทำมาจากดินแล้วปั้นขึ้นมาเป็นทรงหัวเสือ มีการเทบล็อกด้วยปูนพลาสเตอร์ จากนั้นนำมาจัดแต่งทรงและใช้กระดาษค่อย ๆ แปะทีละชั้น (ลักษณะจะคล้ายกับการทำเศียรโขน) พอเสร็จเรียบร้อยแล้วจะทำการผ่าและเย็บ เมื่อหัวเสือแห้งสนิทแล้ว ก็ทำการลงสี และใส่เขี้ยว)
หน้ากากหัวเสือที่ถูกนำมาจัดแสดง เป็นหน้ากากที่ใช้ในการแสดงกระตั้วแทงเสือ ใช้สำหรับให้ผู้ที่แสดงเป็นเสือสวมใส่ เพื่อให้มองดูสมจริง โดยผู้ที่แสดงเป็นเสือจะเริ่มจากเดินวนไปตามจังหวะของเสียงกลองตามลีลาการเคลื่อนที่ของเสือไปเรื่อย ๆ มีทั้งการแสดงตีลังกา การต่อตัวและการต่อสู้ของตัวละครกับเสือ ซึ่งผู้เล่นจะต้องทำลีลาเหมือนเสือจริง ๆ เช่น การคลาน การกระโดด การกลิ้งตัวไปมา
กระตั้วแทงเสือเริ่มมีการแสดงครั้งแรกที่จังหวัดสระบุรี จากนั้นก็เริ่มเป็นที่นิยมเล่นกันในเขตภาคกลางมานานกว่า 50 ปี โดยปัจจุบันมีการดัดแปลงการเเสดงเเตกต่างจากในอดีตไปมาก เพื่อให้ดึงดูดความสนใจของผู้ชม เมื่อก่อนจะมีเสือเพียงตัวเดียวหรือสองตัวเท่านั้น เเต่สมัยนี้มีเสือไม่ต่ำกว่า 9 ตัว ผู้เเสดงจะมีอายุที่หลากหลายปะปนกันไป ตั้งเเต่เด็กถึงวัยทำงาน มีการนำเอาเครื่องเสียงเเละการร้องเพลงมาประกอบการแสดงเพื่อสร้างความสนุกสนาน การเเสดงกระตั้วแทงเสือส่วนใหญ่ท้ายเรื่องจะมีการฆ่าเสือ เเต่ปัจจุบันหลาย ๆ คณะจะไม่มีฆ่าเสือให้ตาย เพราะมีความเชื่อกันว่าถ้าเสือตายจะไม่เป็นสิริมงคลกับคณะ
สำหรับเนื้อเรื่องของการแสดงกระตั้วแทงเสือได้ดัดแปลงมาจากบทละครเรื่องมโนราห์ ตอน พรานบุญจับนางมโนราห์ถวายแด่พระสุธน โดยมีต้นเรื่องมาจากนิยายของกลุ่มชาติพันธุ์ไตที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรน่านเจ้าเรื่อง “นางมโนราห์” ผ่านการปรับประยุกต์ให้ผ่านพรานบุญเป็นนายพรานชื่อว่า “บ้องตัน” มีภรรยาและบุตรอีกสองคน ชื่อ “จุก” และ “แกละ” โดยมีเนื้อเรื่องที่ว่า เมืองแห่งหนึ่งได้เกิดเหตุร้ายขึ้นเนื่องจากมีเสือออกอาละวาดไล่กัดทำร้ายชาวบ้านเสียชีวิตและบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก จนเรื่องราวดังกล่าวได้รับทราบถึงเจ้าเมือง จึงได้ออกประกาศว่าหากผู้ใดที่สามารถฆ่าเสือได้จะมอบรางวัลให้เป็นการตอบแทน ดังนั้น บ้องตันจึงได้ขันอาสาออกไปปราบเสือร้ายพร้อมกับภรรยาและลูก ครั้นเดินทางไปถึงกลางป่าก็ได้พบกับเสือและได้ต่อสู้กัน ในที่สุดบ้องตันสามารถแทงเสือได้และนำความสงบสุขกลับคืนมาสู่บ้านเมืองอีกครั้ง ทั้งยังได้รับรางวัลอย่างมหาศาลเป็นการตอบแทนจากเจ้าเมือง
ในการละเล่นกระตั้วแทงเสือนั้น จะใช้หน้ากากหัวเสือมาสวมใส่เป็นหัวเสือลักษณะหัวโขน และใส่ชุดลายเสือ
รูปที่ 1 หน้ากากหัวเสือมาสวมใส่เป็นหัวเสือลักษณะหัวโขน
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 2 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 3 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 4 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 5 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 6 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
รูปที่ 7 ภาพกิจกรรมการแสดงในสวน “กระตั้วแทงเสือ” โดยคณะขุนพลเจริญพร
หมายเหตุ : จาก ภาพถ่ายศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน)
สามารถรับชมการละเล่นกระตั้วแทงเสือ โดยคณะกระตั้วแทงเสือขุนพลเจริญพร ได้ที่ https://channel.sac.or.th/th/website/video/detail_news/3669
แหล่งอ้างอิง
อชิระ ทิศาภาคย์. (2564). กลวิธีการละเล่นกระตั้วแทงเสือ. สืบค้น 20 มกราคม 2568, จาก https://media.bpi.ac.th/admin/attach/w2/f20220816163257_wjUraxYvDJ.pdf
มูลนิธิโครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). สืบค้น 20 มกราคม 2568, จาก https://saranukromthai.or.th/oldchild/1138
เกรียงไกร ฮ่องเฮงเส็ง. (2560). “กระอั้วแทงควาย” กับ “กระตั้วแทงเสือ” : ประวัติและพัฒนาการของการละเล่นโบราณ. วารสารไทยศึกษา, ปีที่ 13 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย.) หน้า 1-26