ตำนานกำเนิดเทวีศรี ของชาวซุนดา กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองทางฝั่งตะวันตกของหมู่เกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย
เทวีศรี (Dewi Sri) เป็นเทวีแห่งข้าวผู้อุปถัมภ์ความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารตามความเชื่อพื้นเมืองดั้งเดิมของชาวชวา, ซุนดา และบาหลี ทำนองเดียวกับคติแม่โพสพของไทยก่อนการรับศาสนาฮินดูและอิสลามเข้ามา ครั้นหลังการรับอิทธิพลจากศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เข้ามาได้นำความเชื่อในพระธัญญลักษมี (Dhanya Lakshmi) ซึ่งเป็นปางหนึ่งของพระลักษมี เทพสตรีในศาสนาฮินดู มาผนึกผสานรวมกับเทวี ศรีเป็นองค์เดียวกัน อวตารมาทำหน้าที่ปกปักรักษาข้าวให้อุดมสมบูรณ์ มีการบูชากันอย่างแพร่หลายในหมู่เกาะบาหลี และชวา
ชาวซุนดา กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองในประเทศอินโดนีเซียอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางตะวันตกของเกาะชวา ประเทศอินโดนีเซีย มีตำนานพื้นบ้านที่เล่าถึงตำนานต้นกำเนิดข้าวไว้อย่างน่าสนใจ เพราะเป็นต้นไม้สวรรค์ที่ผุดขึ้นเหนือหลุมศพของเทพธิดาองค์หนึ่ง ตำนานดังกล่าวชื่อ Nyi Pohaci Sanghiang Sri เขียนโดย Wawacan Sulanjana
กาลครั้งหนึ่ง ปัตหราคุรุ (Batara Guru) จอมเทพผู้ยิ่งใหญ่เหนือเทพเจ้าทั้งหลายกำลังสร้างวิมานของพระองค์ขึ้นใหม่ จึงมีเทวบัญชาให้ทวยเทพบนสวรรค์ทั้งเทพบุตรและเทพธิดานำหินก้อนใหญ่ ๆ มาองค์ละก้อน สำหรับจะสร้างรากฐานของวิมาน เทพองค์ใดไม่ปฏิบัติตาม จะถูกลงทัณฑ์ เทพทุกองค์รับว่าจะปฏิบัติตามเทวโองการ แต่มีเทพองค์หนึ่งนามว่าเทพอันตา (Anta) เป็นเทพงู รู้สึกกังวลหนักมาก เนื่องจากเขาไม่มีแขนขา ไม่สามารถนำนำก้อนหินไปถวายให้จอมเทพปัตหราคุรุ เขาปรึกษาเพื่อนเทพและร้องให้คร่ำครวญว่า “ท่านก็เห็นอยู่แล้วว่าข้าพเจ้าไม่แขนไม่มีขา ข้าพเจ้าจะขนหินได้อย่างไร” ขณะนั้นขณะที่พูด น้ำตา 3 หยดใหญ่ ๆ ก็ไหลลงมาที่แก้ม เมื่อหยดน้ำตานั้นตกถึงพื้นก็เกิดเหตุน่าอัศจรรย์ นำตาของเขากลายเป็นไข่สีขาวจำนวน 3 ฟอง เทพซึ่งเป็นเพื่อนของเขาจึงแนะนำเทพงูว่า “ท่านนำไข่ 3 ฟองนี้ไปถวายพระผู้เป็นเจ้าเถิด แล้วทูลให้ทรงทราบอย่างถี่ถ้วนว่าเกิดอะไรขึ้น”
ดังนั้นเทพงูอันตาจึงอมไข่ทั้ง 3 ฟองไว้ในปาก ออกเดินทางไปยังวิมานพระผู้เป็นเจ้าอย่างระมัดระวัง ระหว่างทางก็พบกับนกอินทรีใหญ่สีดำ นกอินทรีถามว่า “จะไปไหน…เทพงู” เทพงูอันตาตอบไม่ได้เพราะอมไข่ไว้ในปาก นกอินทรีใหญ่คิดว่าเทพงูหยิ่ง ไม่ยอมตอบ และถามซ้ำถึง 2 ครั้ง เมื่อไม่ได้รับคำตอบก็โกรธมากตรงเข้าจิกศีรษะเทพงู เทพงูอันตาเจ็บมากร้องลั่น เทพงูพยายามวิ่งไปหลบในพุ่มไม้ แต่นกอินทรีย์ก็ดักซุ่มโจมตีได้เป็นครั้งที่ 2 ขณะเทพงูเจ็บปวดและอ้าปากร้อง ไข่ก็หล่นลงพื้นและแตกครั้งละฟอง เมื่อแตกออกก็เกิดลูกหมูฝาแฝด 2 ตัวชื่อ คาราบูยัต (Kalabuat) และบูดุก บาซู (Budug Basu) ซึ่งจะเล่าถึงต่อไป
เทพงูอันตาเสียใจมากที่เสียไข่ไป 2 ฟอง แต่เคราะห์ยังดีที่ยังเหลืออีก 1 ฟอง ในที่สุดเขาก็เดินทางไปถึงที่หมายและนำน้ำตารูปไข่หยดสุดท้ายไปถวายจอมเทพแล้วทูลเรื่องราวที่เกิดขึ้น จอมเทพปัตหราคุรุ ตรัสสั่งให้ดูแลไข่ฟองนั้นจนกระทั่งฟักเป็นตัวเสียก่อนแล้วจึงนำมาถวาย เทพงูนำไข่ฟองนั้นกลับไปยังที่อยู่และระวังรักษาเป็นอย่างดี ในที่สุดไข่ใบนั้นก็แตกออกปรากฎเป็นทารกหญิงคนหนึ่ง เทพงูรีบพาไปเฝ้าจอมเทพปัตหราคุรุ พระองค์ก็ทรงรับไว้เป็นธิดาของพระองค์ ประทานชื่อว่า ไญ โปฮาจี ซังฮฺยัง อัสรี (Nyai Pohaci Sanghyang Asri ) หรือ “เทวีศรี”
เทวีศรีได้รับการเลี้ยงดูอย่างเจ้าหญิงในพระราชวัง ได้รับความรักและความทะนุถนอมอย่างที่ธิดาของจอมเทพปัตหราคุรุควรจะได้รับ เวลาผ่านไปหลายปี เทวีศรีก็เจริญวัยขึ้นเป็นหญิงสาวที่น่ารัก เธอนุ่มนวลอ่อนโยนมีจิตใจเมตากรุณาสมกับเป็นสาวงาม เหล่าทวยเทพ รวมทั้งจอมเทพปัตหราคุรุ เมื่อพบเจอเธอ ต่างหลงรัก หลงเสน่ห์ในรูปกายของนาง ทวยเทพเริ่มกังวล เมื่อเห็นจอมเทพหลงรักลูกสาวบุญธรรมอย่างเห็นได้เด่นชัด แต่ ประเพณีมีอยู่ว่า พ่อจะแต่งงานกับลูกสาวของตนเองไม่ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นพระผู้เป็นเจ้า และเธอเป็นเพียงธิดาบุญธรรมก็ตาม เทพทั้งหลายกลัวว่าถ้าจอมเทพละเมิดประเพณีนี้ จะเกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นและจะทําลายความสามัคคีของสวรรค์ อาณาจักรจะพังพินาศ ดังนั้นเพื่อรักษาความสงบสุขของสวรรค์ ทวยเทพทั้งปวงจึงลอบมาประชุมกันลับ ๆ แล้วลงความเห็นว่าต้องฆ่าเทวีศรีเสีย.
เทวีศรีถูกวางยาพิษโดยเทพเอายาพิษใส่ลงไปในผลไม้ซึ่งนางเทวีศรีโปรดมาก แล้วนำไปให้เธอ พอเธอกินผลไม้นั้นไม่ทันไรก็ล้มป่วย อ่อนเพลียลงทุกวัน ๆ และในที่สุดก็ตายลง มีตำนานเกี่ยวกับศพของเทวีศรี ที่ก่อกำเนิด "ข้าว" เล่าไว้หลายตำนาน บ้างก็ว่า
ศพของเทวีศรีมีพิธีกรรมอันมโหฬาร ฝังไว้ที่ข้างพระเจดีย์ยอดสามชั้น มีเทวดาอยู่เฝ้าหลุมศพ 1 องค์คอยรดน้ำทุกวันเพื่อให้เกิดดอกไม้งอกงามรอบหลุมศพ ไม่ช้าก็ปรากฏว่ามีพืชประหลาดชนิดหนึ่ง ซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อนเลย งอกขึ้นมาที่หลุมศพ พืชนี้เป็นพันธุ์ไม้สวรรค์ซึ่งเดี๋ยวนี้เรียกกันว่า ข้าว มันเติบโตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและออกรวงหลายรวง เมื่อถึงเวลาก็กลายเป็นสีเหลืองและมีเมล็ดข้าวมากมาย
เมื่อจอมเทพทอดพระเนตรเห็นสิ่งอัศจรรย์นี้ก็ตรัสกับเทพบริวารให้นำเมล็ดข้าวลงมายังโลกมนุษย์ ไปประทานแก่พระราชาผู้ครองอาณาจักปชาจรัน โดยมีเทวบัญชาว่า “จงบอกกับพระราชาว่า เมล็ดพืชเหล่านี้เป็นของขวัญจากเรา ขอให้ประชาชนของพระราชาปลูกพืชนี้และระวังรักษาให้จงดี แล้วต่อไปจะไม่มีใครหิวโหยอีกเลยเพราะข้าวนี้เป็นอาหารสำหรับชีวิต” พระราชาแห่งปชาจรันมีความสุขมากที่ได้รับของขวัญอันพิเศษจากสวรรค์ พระองค์ทรงแจกจ่ายเมล็ดข้าวแก่ประชาชน
อีกตำนานหนึ่งเล่าว่า ศพของเธอถูกฝังอยู่ในที่ห่างไกลและซ่อนอยู่บนโลกมนุษย์. ต่อมาเกิดเหตุอัศจรรย์ ณ หลุ่มฝังศพของเธอ เกิดพืชพันธุ์ธัญญาหารที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติตลอดกาลงอกออกจากอวัยวะต่างๆ ของเธอ เช่น มีต้นมะพร้าวงอกออกจากหัว มีพืชเครื่องเทศและพืชผักนานาชนิดงอกออกจากจมูก ริมฝีปาก และหู มีหญ้าและพืชดอกนานาชนิดงอกออกจากผม มีต้นไม้ผล หรือพืชผลงอกออกจากอก มีไม้สักและไม้ยืนต้นนานาชนิดงอกออกจากแขนและมือ มีต้นตาวหรือต้นต๋าวงอกออกจากอวัยวะเพศ มีต้นไผ่หลากหลายชนิดงอกออกจากต้นขา มีพืชหัวทุกชนิดงอกออกจากขา และท้ายสุดเกิดพืชที่เป็นประโยชน์มากเรียกว่า ข้าวเปลือก งอกออกจากสะดือ หรือบางบางตำนานเล่าว่า ข้าวขาวงอกออกมาจากตาขวา และข้าวแดงงอกออกมาจากตาซ้าย
พืชที่ให้คุณประโยชน์แก่มนุษยชาติ เป็นที่ต้องการและมีความสำคัญทั้งหมด เชื่อกันว่ามาจากซาก/ร่างกายของเทวีศรี ตั้งแต่นั้นมาชาวเกาะชวาจึงได้สักการะและเคารพเธอในฐานะ"เทพธิดาแห่งข้าว"และเทพธิดาแห่งความอุดมสมบูรณ์ ในอาณาจักรซุนดาโบราณ ถือว่าเทวีศรี เป็นเทพธิดาที่สูงที่สุดและเป็นเทพเจ้าที่สําคัญที่สุดในสังคมเกษตรกรรม
-------------------------
อ้างอิง
สุจิตต์ วงษ์เทศ.(2567).แม่โพสพ “เทวีข้าว” ในรัฐนาฏกรรม.https://www.silpa-mag.com/history/article_126175
เด็กชายผักอีเลิด.(2565).ตำนาน “กำเนิดข้าว” ในนิทานอินโดฯ พืชสวรรค์โผล่เหนือหลุมศพเทพธิดา.https://www.silpa-mag.com/culture/article_95175
Dewi Sri.https://en.wikipedia.org/wiki/Dewi_Sri