ประวัติศาสตร์การก่อตั้งชุมชน
บ้านดอนเงิน ถูกจัดตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2469 มีต้นกำเนิดจากบ้านหนองโอง จากคำบอกเล่าของพ่อจันทร์เพ็ญ สีน้ำหวด ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเกิดขึ้นของบ้านดอนเงินไว้ว่าในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านเดียวกันกับบ้านหนองโอง ซึ่งภูมิหลังเดิมเคยอาศัยอยู่ในจังหวัดร้อยเอ็ด แต่ในราว ๆ ปีพุทธศักราช 2530 ชาวบ้านได้อพยพย้ายถิ่นมายังขอนแก่น เนื่องจากปัญหาด้านความแห้งแล้ง และความขาดแคลนอาหารที่เกิดขึ้นในพื้นที่เดิม ทำให้การเกษตรเป็นไปอย่างยากลำบาก ชาวบ้านในช่วงเวลานั้น จึงตัดสินใจอพยพย้ายไปยังพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มากกว่า ที่เรียกว่า “การแตกบ้าน” หมายถึง การอพยพครอบครัวหลายครอบครัวเพื่อหาที่อยู่ใหม่ ในการอพยพย้ายถิ่นในช่วงเวลานั้นนำโดยพ่อจ้ำ ผู้เป็นที่เคารพจากคนในหมู่บ้านเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทาง ในการเดินทางครั้งนี้มีการคำนวณฤกษ์ยามการเดินทาง เมื่อถึงฤกษ์แล้วจะมีการจัดพิธีบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเสี่ยงทายว่าการเดินทางจะสามารถเดินทางได้โดยสวัสดิภาพหรือไม่ โดยจะใช้คางไก่บ้านเสี่ยงทายคือ เมื่อฆ่าไก่ให้ตายแล้วหากไก่เหยียดคางตรงการเดินทางจะมีอุปสรรค แต่หากคางไก่โค้งงอเหมือนเคียวเกี่ยวข้าว การเดินทางเพื่อหาที่อยู่ใหม่ครั้งนั้นจะเป็นไปโดยราบรื่นและจะพบแหล่งที่อุดมสมบูรณ์เหมาะแก่การตั้งหลักปักฐาน เมื่อผลการเสี่ยงทายออกมาว่าการเดินทางจะเป็นไปอย่างราบรื่น ชาวบ้านจึงเริ่มเคลื่อนคาราวานเกวียนที่บรรทุกสัมภาระออกจากบ้านเดิม มุ่งหน้ามาตามเส้นทางของฝูงผีเสื้อ จนท้ายที่สุดได้เดินทางถึงเขตเมืองขามแก่นและได้ตั้งถิ่นฐานที่บ้านแห้วบ้านคู (อำเภอชำสูงในปัจจุบัน) เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์และมีน้ำเพียงพอสำหรับการเพาะปลูกทางการเกษตร ต่อมาในปีพุทธศักราช 2469 บ้านแห้วเกิดปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้ง เนื่องจากพื้นที่นี้ยังไม่มีการสร้างเขื่อนป้องกันน้ำท่วม เป็นเหตุให้ในช่วงฤดูฝนน้ำจึงไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่ทำกินของชาวบ้านเกือบทุกปี ส่งผลให้ชาวบ้านตัดสินใจย้ายหมู่บ้านอีกครั้ง และได้ย้ายมาอยู่ที่บ้านหนองโองในปัจจุบัน ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการเกษตรมากกว่า เดิมบ้านหนองโองถูกจัดตั้งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช 2469 โดย 3 ครอบครัว คือ คนที่ 1 พ่อใหญ่พันธ์ น้อยสุข คนที่ 2 พ่อใหญ่สิป มาตย์สมบัติ คนที่ 3 พ่อใหญ่บุญมา คําเชียง บ้านหนองโองเป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้อุดมสมบูรณ์และมีสัตว์ป่าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก เช่น กวาง ช้าง โอง เสือ อยู่มาวันหนึ่งทั้ง 3 ได้ออกตระเวนหาแหล่งน้ำเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภค โดยมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกของหมู่บ้านประมาณ 600 เมตร ไปพบหนองน้ำขนาดกลาง เป็นหนองน้ำที่ใสสะอาดเหมาะสำหรับการบริโภค บริเวณโดยรอบหนองมีต้นสะแบงใหญ่อยู่ริมหนองและมีป่าหนามจำนวนมาก (หนามวัวชัง) เมื่อสัตว์ต่าง ๆ มา กินน้ำในหนองมักถถูกหนามวัวซังเกี่ยวอกตายอยู่บ่อยครั้ง และสัตว์ที่มักพบมากขณะนั้น คือ “โอง” หรือตัวละอง (ลักษณะคล้ายกวาง) จึงเป็นตำกำเนิดของชื่อ“บ้านหนองโอง” ในเวลาต่อมา โดยบ้านหนองโองมีผู้ใหญ่บ้านคนแรกคือ นายเขียน ศรีชมชื่น คนที่ 2 คือนายนาย แก้วเบ้า คนที่ 3 คือนายเถียร มาจันทร์ คนที่ 4 คือนายบุญเพ็ง แก้วเบ้า คนที่ 5 นายชารี โพธิ์ศรี จนกระทั่งในปีพุทธศักราช 2543 ประชากรบ้านหนองโองมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นจนยากแก่การปกครองที่ทั่วถึง เป็นเหตุให้มีการแบ่งแยกการปกครองของหมู่บ้านออกเป็นอีกส่วนหนึ่ง คือ หมู่ที่ 13 และมีชื่อหมู่บ้านว่า บ้านดอนเงิน โดยตั้งตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ของหมู่บ้านที่มีที่ดอนอยู่และให้ชื่อดอนนั้นว่า ดอนเงิน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน
บริบททางสังคมวัฒนธรรม
ประชากร
บ้านดอนเงิน หมู่ที่ 13 มีจำนวนครัวเรือนทั้งหมด 90 ครัวเรือน มีประชากรทั้งสิ้น 302 คน แบ่งออกเป็นเพศชาย 138 คน และเพศหญิง 164 คน และประชากรประกอบอาชีพเพาะปลูก จำนวน 90 ครัวเรือน ครัวเรือนที่ทำนา จำนวน 86 ครัวเรือน ครัวเรือนที่ทำสวนยาง จำนวน 2 ครัวเรือน คนอายุ 15-59 ปี ประกอบอาชีพและมีรายได้ จำนวน 86 คน คนอายุ 15-59 ปี ไม่มีการประกอบอาชีพและไม่มีรายได้ จำนวน 66 คน และกำลังศึกษาในสถานศึกษา จำนวน 50 คน
ศาสนา ความเชื่อ บุญประเพณี
1) ศาสนา
บ้านดอนเงิน หมู่ที่ 13 ตำบลหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น เป็นชุมชนพุธ โดยมีวัดอัมพวันบ้านหนองโองเป็นศูนย์รวมจิตใจและพิธีกรรมทางศาสนา วัดอัมพวันบ้านหนองโอง ตั้งอยู่ในพื้นที่ของหมู่ที่ 7 บ้านหนองโอง แต่เป็นที่เคารพและใช้ร่วมกันระหว่างหมู่ 7 และหมู่ 13 บ้านดอนเงิน วัดอัมพวันบ้านหนองโอง ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2481 เพื่อให้ชาวบ้านที่อพยพจากบ้านแห้ว ตำบลบ้านโนน อำเภอซำสูงในปี พ.ศ. 2469 มีสถานที่สำหรับทำพิธีทางศาสนาพุทธและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ก่อนหน้านี้ ชาวบ้านในพื้นที่นี้มีความต้องการในการมีสถานที่ประกอบพิธีทางศาสนาและวัดอัมพวันบ้านหนองโองจึงได้รับการก่อตั้งขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 เนื่องจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นในพื้นที่ หมู่บ้านถูกแยกออกเป็นสองหมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 7 บ้านหนองโอง และหมู่ที่ 13 บ้านดอนเงิน แม้ว่าหมู่บ้านจะมีการแบ่งแยกการปกครอง แต่ชาวบ้านทั้งสองหมู่ยังคงใช้วัดอัมพวันบ้านหนองโองร่วมกันในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา และในปี พ.ศ. 2549 วัดอัมพวันบ้านหนองโองเกิดการทรุดโทรมและชาวบ้านได้ร่วมมือกันบูรณะวัด โดยการสร้างศาลาการเปรียญหลังใหม่และเมรุเผาศพแทนเชิงตะกอน เพื่อให้มีสถานที่ที่มั่นคงและสะดวกสำหรับการประกอบพิธี และในปัจจุบัน ชาวบ้านทั้งสองหมู่บ้านยังคงใช้วัดอัมพวันบ้านหนองโองร่วมกันในการทำบุญประจำวัน การเข้าพรรษา การออกพรรษา และพิธีกรรมทางศาสนาอื่น ๆ ทำให้วัดเป็นศูนย์กลางสำคัญในชีวิตจิตใจและวัฒนธรรมของชาวบ้านในพื้นที่นี้
2) ความเชื่อ
ชุมชนบ้านดอนเงิน หมู่ที่ 13 ตำบลหนองกุงใหญ่ อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น นอกจากนับถือพุทธศาสนา และมีวัดอัมพวันบ้านหนองโอง เป็นศูนย์รวมจิตใจและใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาแล้ว ยังมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและศรัทธาเป็นอย่างมาก ได้แก่ ศาลปู่ตาปู่ลือคำหาญ หอพระธรรม และผีตาแฮก โดยมีรายละเอียดดังนี้
2.1) ศาลปู่ตา หรือปู่ลือคำหาญ หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านที่ให้ความคุ้มครอง ปกปักรักษาหมู่บ้านและคนในหมู่บ้าน โดยศาลปู่ตาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถืออย่างมาก และนับได้ว่าเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจอีกหนึ่งสถานที่รองจากวัด ที่เมื่อเวลาชาวบ้านจะออกนออกหมู่บ้านจะทำการบอกกล่าวศาลปู่ตาให้รักษาคุ้มครองตลอดการเดินทางเพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อตนเอง ในการบูชาศาลปู่ตา ปู่ลือคำหาญ มีพิธีเลี้ยงปู่ตาจำนวน 2 ครั้งต่อปี คือในช่วงเดือนยี่ 1 ครั้ง และในเดือนหกจำนวน 1 ครั้ง โดยเลี้ยงด้วยเครื่องแปด คือสิ่งของทุกอย่างที่ถวายต้องมีจำนวน 8 ชิ้น เช่น ข้าวจำนวน 8 ปั้น ยาจำนวน 8 กรอก เมี่ยงจำนวน 8 คำ ยาสูบจำนวน 8 มวน ดอกไม้จำนวน 8 คู่ ธูปจำนวน 8 ดอก เทียนจำนวน 8 เล่ม หมากพลูจำนวน 8 คำ หวาน 8 พา และคาว 8 พา ก้านมะพร้าวใส่พาข้าว 8 ก้าน ขอดมะพร้าวตามจำนวนคน รถ และควายต่อบ้าน ในการสื่อสารระหว่างชาวบ้านกับศาลปู่ตาก็จะมีผู้เป็นตัวกลางการสื่อสารคือ “คะจ้ำ” ประจำหมู่บ้าน ทำหน้าที่ในการสื่อสารแทนชาวบ้าน
2.2) หอพระธรรม หรือหลักบ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งสิ่งที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือและศรัทธา โดยหอพระธรรมนี้ตั้งอยู่ใจกลางของบ้านระหว่างบ้านดอนเงินและบ้านหนองโอง เป็นเส้นตัดผ่านระหว่างสองหมู่บ้าน มีลักษณะเป็นสิ่งปลูกสร้างคล้ายศาลหลังเล็ก ๆ มีฐานเป็นปูนและมีหลังคาเป็นสังกะสี ในหอพระธรรมจะประกอบไปด้วยพระพุทธรูปจำนวน 1 องค์ พวงมาลัยจำนวนมาก เครื่องจักสานสำหรับจับปลา (ข้อง) และธูปเทียนต่าง ๆ โดยเหตุผลในการสร้างหอพระธรรมขึ้น เป็นเพราะชาวบ้านต้องการมีสถานที่ยึดเหนี่ยวจิตใจแห่งที่สอง และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไว้เคารพสักการะบูชาเช่นเดียวกับศาลปู่ตา และหมู่บ้านจะมีพิธีเลี้ยงบ้าน 1 ครั้ง ซึ่งจะทำพิธีเลี้ยงในเดือน 6 และมีพิธีกรรมการแจกข้าวร้อยพาและธงหน้าวัว โดยชาวบ้านจะเตรียมอาหารทั้งคาวหวานมาถวายพระและนำกระทงหน้าวัวทำจากกาบกล้วย นำมาหักเป็นรูปสามเหลี่ยมภายในก็จะเอาไม้เสียบเพื่อที่จะวางสิ่งของลงในกระทงได้ สิ่งของในกระทงหน้าวัวประกอบด้วยอาหารคาวหวานต่าง ๆ ธูป เทียน ยาสูบ และเหล้า เป็นต้น
2.3) ตาแฮก หรือผีตาแฮก ชาวบ้านถือว่าเป็นผีประจำท้องไร่ท้องนา ที่คอยปกปักรักษาพืชสวนไร่นา และทำให้ข้าวกล้า เจริญงอกงาม อุดมสมบูรณ์ การทำนาจะได้ผลดี แต่การนับถือผีตาแฮกจะมีเพียงชาวบ้านบางส่วนเท่านั้นที่นับถือหรือเป็นความเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งที่อยู่ของผีตาแฮก ชาวบ้านบางคนอาจปลูกกระท่อมหลังเล็ก ๆ หรือบางคนปักเสาเป็นสัญลักษณ์เพื่อแสดงว่าที่แห่งนี้เป็นที่อยู่ของผีตาแฮก หรือบางแห่งจะทำรั้วถี่ ๆ ล้อมบริเวณใดบริเวณหนึ่งไว้ สำหรับการเซ่นไหว้ผีตาแฮกชาวบ้านจะทำการเลี้ยงก่อนการทำนาทุกปีหรือตามช่วงเวลาที่เหมาะสมของแต่ละบุคคล โดยพิธีเลี้ยงจะมีของเซ่นไหว้เป็นของหวาน เหล้า ยาสูบ ปลาปิ้ง หรือของแห้งต่าง ๆ เป็นต้น
2.4) หมอเทียม หมอเทียมในหมู่บ้านดอนเงินเป็นคำเรียกที่ชาวบ้านใช้เรียกบุคคลที่ทำหน้าที่เป็นผู้รักษาโรคตามความเชื่อ โดยชาวบ้านเชื่อกันว่าผีตามสถานที่ต่าง ๆ ทำให้เจ็บป่วยขึ้นมา ชาวบ้านในหมู่บ้านจะมาหาหมอเทียมเพื่อให้หมอเทียมรักษาโรคที่ตนเองเป็นอยู่ ในกรณีที่โรคไม่สามารถรักษาได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ วิธีที่หมอเทียมทำการรักษา คือ การรำ โดยมีค่าครูเป็นจำนวนเงิน 50 บาท
3) บุญประเพณี
บ้านดอนเงิน หมู่ 13 ตำบลหนองกรุง อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ได้มีการปฏิบัติตามประเพณีบุญ
ฮีตสิบสองของชาวอีสานครบทุกเดือน ซึ่งเป็นบุญประเพณีที่สืบต่อกันมาตั้งอดีตกาลมาจนถึงปัจจุบัน อีกทั้งบุญประเพณีฮีตยังเป็นบุญประเพณีที่มีความเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในชุมชน ทางด้านเกษตรกรรม วัฒนธรรม ความเชื่อ โดยเป็นบุญที่ชาวบ้านทั้งบ้านดอนเงินและบ้านหนองโองทำร่วมกันเนื่องจากในอดีตเคยเป็นหมู่บ้านเดียวกัน ดังนั้นเมื่อมีงานบุญประเพณีทั้งสองบ้านจึงร่วมกันจัดงานเพื่อเป็นการสืบสานสืบต่องานบุญประเพณีจากในอดีตและเป็นการธำรงรักษาไว้ซึ่งธรรมเนียมประเพณีการปฏิบัติให้คงอยู่สืบไปจนถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน จากการศึกษาวิเคราะห์ชุมชน ทำให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับบุญประเพณีชุมชน ดังนี้
3.1) เดือนธันวาคม (เดือนอ้าย) - เดือนมกราคม (เดือนยี่) บุญขึ้นปีใหม่ ชาวบ้านจะทำบุญขึ้นปีใหม่ในช่วงสิ้นปีคือวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีจนถึงวันที่ 1 มกราคมของปีถัดไป โดยชาวบ้านจะมีการทำบุญเลี้ยงพระ ฟังพระธรรมเทศนา และถือศีลปฏิบัติ พร้อมทั้งสวดมนต์ข้ามปี ในวันที่ 31 ธันวาคม และในช่วงเช้าของวันที่ 1 มกราคมของปีถัดมา ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญตักบาตรที่วัดประจำหมู่บ้านหรือที่เรียกว่าวัดอัมพวัน ซึ่งเป็นวัดที่ชาวบ้าน บ้านหนองโองและบ้านดอนเงินใช้ร่วมกันประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
3.2) เดือนกุมภาพันธ์ (เดือนสาม) บุญข้าวจี่และบุญตุ้มปากเล้าที่จัดขึ้นในช่วงวันเวลาเดียวกัน ประเพณีนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 15 ค่ำ เดือน 3 ชาวบ้านจะเริ่มทำพิธีบุญข้าวจี่ในช่วงเช้า โดยใช้ข้าวเหนียวปั้นเท่าไข่ไก่หรือตามความต้องการแล้วนำไปหุ้มด้วยน้ำอ้อยแล้วนำไปจี่ไฟพอเกรียมแล้วก็ต่อด้วยการชุบไข่ แล้วนำไปจี่ไฟอีกรอบเพื่อให้ข้าวสุก แล้วจึงนำข้าวจี่ใส่ภาชนะพร้อมด้วยอาหารอื่น ๆ มาตั้งไว้ที่ศาลาวัดเพื่อที่จะทำพิธีถวายให้แก่พระภิกษุสงฆ์ เมื่อพระฉันเสร็จก็ทำการแสดงพระธรรมเทศนา และนำข้าวจี่ที่เหลือมาแจกจ่ายให้ชาวบ้าน นอกจากนี้ยังมีบุญตุ้มปากเล้า โดยจะมีชาวบ้านที่นำข้าวเปลือกที่ได้ผลผลิตจากการทำนาของตนเองไปจำหน่าย และนำมาถวายให้แก่วัดทั้งหมด
3.3) เดือนมีนาคม (เดือนสี่) บุญผะเหวดหรือบุญมหาชาติ จัดทำปีละ 1 ครั้งในช่วงกลางเดือนมีนาคมหรือเดือนสี่ วันแรกมีการโฮมกันเพื่อเตรียมงานมีข้าวเกรียบ ตีผึ้งตีเทียน มีการทำเครื่องพันเพื่อบูชาพระคาถา มีหนึ่งพันพระคาถาที่จะมีการเทศน์ 13 กัณฑ์หนึ่งพันพระคาถา วันที่สองมีการแห่พระอุปคุต แห่ผ้าผะเหวด ฟังเทศน์มาลัยหมื่น มาลัยแสน รุ่งเช้าวันต่อมา มีการแห่ข้าวพันก้อนตีสามตีสี่ ฟังเทศน์สังกาด และเทศน์พระเวสสันดร 13 กัณฑ์ หนึ่งพันพระคาถา มีการแห่กัณฑ์หลอน จึงถือว่าเสร็จงานพิธี
3.4) เดือนเมษายน (เดือนห้า) บุญสงกรานต์หรือบุญขึ้นปีใหม่ไทย จัดในวันขึ้น 15 ค่ำเดือนห้าของทุกปี มีกิจกรรมสรงน้ำพระพุทธรูปโดยชาวบ้านจะนำพระพุทธรูปจากบ้านของตนเองมารวมกันที่วัด หลังจากนั้นก็ร่วมกันสรงน้ำพระพุทธรูป มีกิจกรรมสอยดาวเดือนที่จัดขึ้นที่วัดประจำหมู่บ้าน มีพิธีการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่เพื่อเป็นการขอขมาและขอพรและมีการทำบุญตักบาตร แต่บ้านดอนเงินไม่มีพิธีการแห่พระอ้อมบ้านและไม่มีการก่อเจย์ดีทราย
3.5) เดือนพฤษภาคม (เดือนหก) - เดือนมิถุนายน (เดือนเจ็ด) บุญบั้งไฟหรือบุญพญามาร จัดขึ้นในวัน 15 ค่ำ เดือนหกของทุกปี โดยมีความเชื่อว่าเดือนหกเป็นเดือนที่มีฟ้าใหม่ฝนใหม่และเป็นฤดูกาลเริ่มต้นการทำนาจึงมีความต้องการฝนเพื่อเป็นประโยชน์แก่ข้าว และพญาแถนกล่าวว่าถ้าอยากได้ฝนให้มนุษย์ทำบั้งไฟขึ้นไปเพื่อส่งสัญญาณให้พญาแถน ได้รับรู้ว่าบ้านนี้ถึงเดือนหกแล้ว จะได้มอบน้ำฝนลงมาเพื่อให้ตรงกับฤดูทำนาของชาวบ้าน ด้วยความเชื่อนี้ชาวบ้านจึงทำบั้งไฟขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและเป็นการขอฝน
3.6) เดือนกรกฎาคม (เดือนแปด) บุญเข้าพรรษา เข้าเดือนแปดเพ็งออกเดือนสิบเอ็ดเพ็ง เป็นช่วงที่พระสงฆ์เริ่มเข้าจำพรรษาหรือเก็บตัวอยู่ภายในวัดตลอดช่วงเวลา 3 เดือน ซึ่งจะมีกิจกรรมของหมู่บ้านคือการทำบุญตักบาตรในช่วงเช้า ถวายสังฆทาน ข้าวปลาอาหารให้แก่พระ และมีกิจกรรมแห่เทียนที่ทำจากขี้ผึ้งซึ่งชาวบ้านได้ช่วยกันหล่อหลอมไม่ว่าจะเป็นเทียนใหญ่เทียนเล็กเพื่อที่จะถวายให้แก่วัด นอกจากนี้ยังมีการเวียนเทียนรอบอุโบสถ และมีพ่อออก แม่ออกมาทำวัตรจำศีลตามประเพณี
3.7) เดือนสิงหาคม หรือเดือนเก้า บุญข้าวประดับดิน จัดขึ้นในวันแรม 14 ค่ำ เดือนเก้า ชาวบ้านจะนำข้าวปลาอาหารทั้งคาวหวาน พร้อมด้วยหมากพลูเหล้ายาปลาปิ้งห่อด้วยใบตอง แล้วนำไปวางไว้ตามต้นไม้หรือสถานที่โล่งที่สามารถวางได้หากมีสำหรับอาหารจำนวนมาก ซึ่งชาวบ้านในอดีตจะนำมาวางในช่วงเวลาตี 1 หนึ่ง แต่ปัจจุบันชาวบ้านได้เปลี่ยนมาวางในเวลา 22.00 น. เพื่ออุทิศให้แก่บรรดาญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว รวมทั้งผีไร้ญาติ ซึ่งพิธีกรรมนี้ถือเป็นการทำบุญ ทำทานไปพร้อมกัน และยังมีการทำภัตตาหารถวายให้แก่พระสงฆ์สามเณรและอุทิศให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยการกรวดน้ำหรือหยาดน้ำ
3.8) เดือนกันยายน (เดือนสิบ) บุญข้าวสาก ย่างปลาใส่พาข้าวเป็นถาด ประกอบด้วยข้าวสารอาหารแห้ง ผลไม้ น้ำผลไม้ ข้าวกระยาสารทอาจจะซื้อมาถวายหรือทำเองแล้วแต่ความสะดวกของแต่ละบ้าน โดยทำตามจำนวนประชากรของแต่ละครัวเรือน มีซองเงินตามศรัทธาของชาวบ้าน หรือบางบ้านก็ไม่มี ยายเวลากลางวันในช่วง 09.00 น. – 10.00 น. แล้วเขียนสลากรายชื่อของแต่ละคนว่ามีกี่พาใส่ในบาตร ถวายแล้วถือว่าเสร็จบุญ
3.9) เดือนตุลาคม (เดือนสิบเอ็ด) บุญออกพรรษา จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือนสิบเอ็ด เป็นวันที่พระภิกษุออกการจำพรรษาหลังจากจำพรรษานานถึง 3 เดือน ซึ่งมีกิจกรรมในช่วงเช้ามีการตักบาตรเทโว ถวายปัจจัยไทยทาน และในช่วงเย็นจะมีการสวดมนต์ทำวัตรเย็น พร้อมทั้งการเวียนเทียนรอบอุโบสถ นอกจากนี้ก็มีการจุดประทัด ดอกไม้ไฟ พลุไฟ ตระโพก ซึ่งเป็นการสืบทอดกันมาตั้งแต่อดีต เนื่องจากชาวบ้านมีความเชื่อกันว่า วันเข้าพรรษาเป็นวันที่มีการปล่อยภูตผีออกมา ดังนั้นในช่วงวันออกพรรษาจึงต้องจุดประทัดเสียงดังเพื่อปัดเป่า ขับไล่พวกภูตผีวิญญาณให้กลับไปยังจุดเดิมที่เคยมา แต่ความเชื่อนี้ได้ถูกลดค่าลงไปเหลือเพียงแต่การจุดเพื่อความสนุกสนานเพียงเท่านั้น
3.10) เดือนพฤศจิกายน (เดือนสิบสอง) บุญกฐิน จัดขึ้นในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงกลางเดือน 12 ซึ่งชาวอีสานในอดีตเริ่มปฏิบัติกันตั้งแต่ข้างขึ้นเดือนสิบสอง จึงมักเรียกบุญกฐินว่าเป็นบุญเดือนสิบสอง ซึ่งมีจุลกฐินกองเล็กแห่รอบหมู่บ้านในช่วงเวลากลางวัน โดยจำนวนเงินกฐินนั้นชาวบ้านได้ร่วมกันทอดเพื่อนำไปถวายแก่วัดและพระภิกษุสงฆ์