ประวัติ
ป่าคำชะโนด หรือ เมืองชะโนด หรือ วังนาคินทร์คำชะโนด ตั้งอยู่ในพื้นที่ 3 ตำบล คือ ตำบลวังทอง, ตำบลบ้านม่วง และตำบลบ้านจันทร์ ใน อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เป็นป่าที่มีลักษณะเหมือนเกาะขึ้นอยู่กลางทุ่งนา เต็มไปด้วยต้นชะโนด ซึ่งเป็นพืชจำพวกปาล์ม ความยาวประมาณ 200 เมตร ป่าคำชะโนดเป็นสถานที่ ๆ ปรากฏในตำนานพื้นบ้าน เป็นสถานที่ ๆ เชื่อว่า เป็นที่สิงสถิตของพญานาคและสิ่งลี้ลับต่าง ๆ บ่อยครั้งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นจะพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญพระเวสสันดร รวมถึงหญิงสาวที่มายืมเครื่องมือทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง รวมถึงที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำก็ไม่ท่วมบริเวณคำชะโนด เมื่อระดับน้ำลดลง คำชะโนดก็ยังคงอยู่เช่นเดิม
แต่ทว่าแท้ที่จริงแล้ว ป่าคำชะโนดก็เคยเกิดน้ำท่วม โดยเคยเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2516, พ.ศ. 2538, พ.ศ. 2559 และ พ.ศ. 2560 ทั้งนี้เชื่อว่าเกิดจากการที่มีการก่อสร้างถาวรวัตถุต่าง ๆ มากขึ้นกว่าเดิมในอดีต จึงทำให้พื้นที่ของเกาะซึ่งลอยน้ำอยู่นั้นมีความหนัก จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ต้องจมน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางปี พ.ศ. 2560 ถึงกับต้องปิดสถานที่แห่งนี้เป็นการชั่วคราว เกาะคำชะโนดดินแดนที่หลายคนเชื่อว่าทุกตารางนิ้วมีความศักดิ์สิทธิ์ ชาวบ้านหลายชั่วอายุคนเชื่อกันว่าใต้คำชะโนดเป็นเมืองบาดาลมีพญานาค ชื่อ พญาศรีสุทโธนาค ปกครองอยู่ มีทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด ซึ่งเรียกกันว่าบ่อน้ำ คำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ และมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคโดยตรง มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย เป็นเรื่องโด่งดังมาแล้วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นเปรตกู้และผีจ้างหนัง
ชาวไทยพุทธของเราส่วนใหญ่ยังผูกพันอยู่กับความเชื่อต่างๆเพราะเมื่อเรามีความเชื่อแล้วย่อมมีความหวัง แต่จะหวังไปในด้านใดนั้นก็แล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล ห้ามกันไม่ได้ แม้กระทั่งสมัยพุทธกาลมีพระพุทธศาสนาที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับเป็นประธานเป็นองค์เผยแผ่พระพุทธศาสนาด้วยพระองค์เอง ขนาดนั้นยังมีลัทธิต่างๆที่เข้ามาเป็นคู่แข่ง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บังคับใครให้มาเชื่อในคำสอนของพระองค์มีแต่ทรงตรัสไว้โดยปริยาย(โดยอ้อม)ว่า “ตถาคต เป็นเพียงผู้บอก”เท่านั้น ส่วนการเชื่อหรือการปฏิบัตินั้นอยู่ที่ตัวของผู้เชื่อหรือผู้ปฏิบัติเอง
คำชะโนด ป่าลึกลับ ที่เมื่อหลายๆ คนพูด ก็จะนึกถึงความลี้ลับเกี่ยวกับพญานาค ความเชื่อที่ว่าเกาะคำชะโนดไม่เคยจมน้ำ เพราะมีพญานาคคอยปกปักรักษา และเรื่องราวที่ทำให้เรารู้จักคำชะโนดมาขึ้นนั่นในปี 2532 ก็คือ ตำนานผีจ้างหนัง จนกระทั่งมีคนนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ความเป็นมาของ “คำชะโนด” ที่เกี่ยวพันกับพญานาค ได้แก่ เรื่องผีจ้างหนังมาฉาย ซึ่งก็คือนาค แปลงกายเป็นมนุษย์ ไปว่าจ้างหนังกลางแปลงให้ไปฉายที่ คำชะโนด และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ เวลาชาวบ้านจัดงานประจำปี มีมหรสพมากมาย นาคก็จะขึ้นมาเที่ยว โดยแปลงร่างเป็นคนธรรมดา ผู้หญิงจะแต่งตัวใส่เสื้อขาว นุ่งผ้าสีคล้ายๆ สีดำ ผู้ชายชอบโพกศีรษะด้วยผ้าแดง
คำชะโนด เกาะลอยน้ำ คำชะโนด มีลักษณะคล้ายๆ เกาะ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางทุ่ง มีน้ำล้อมรอบ มีเนื้อที่ประมาณ 20 กว่าไร่ มีต้นไม้ชนิดหนึ่งเรียกว่า “ต้นชะโนด” ขึ้นเต็มไปหมด เมื่อเข้าไปที่ คำชะโนด อากาศจะเย็นสบายเหมือนติดแอร์ ที่นี่ พอถึงหน้าฝน รอบๆ เกาะ น้ำจะท่วมทุกปี แต่ที่ คำชะโนด น้ำจะไม่ท่วม ดูเหมือนว่า เกาะนี้จะลอยขึ้นตามน้ำ คือ ถ้าหากน้ำขึ้นก็ขึ้นตาม น้ำลงก็ลงตาม น่าประหลาดมากๆ น้ำจะเอ่อล้นมาจาก “แม่น้ำสงคราม” ซึ่ง แม่น้ำสงคราม จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่ คำชะโนด แห่งนี้ ชาวบ้านบอกว่า มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “ปล่องพญานาค” เคยมีคนนำไม้ไผ่ลำยาวๆ 3 ต้นมาต่อกัน แล้วหยั่งลงไป ปรากฏว่า ยังไม่ถึงพื้นเลย แต่แปลกที่ว่า เมื่อโยนเหรียญลงไป จะมองเห็นเหรียญได้หมด น้ำใสมาก ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาค ได้ออกมาจากปล่องนี้
คำชะโนด คือ รอยต่อระหว่างภพมนุษย์กับภพบาดาล เพราะตรงนั้นเป็นโพรงน้ำต่อไปถึงลำน้ำโขง ที่พญานาคเขาขุด หรือทำเอาไว้เพื่อเชื่อมต่อภพมนุษย์ เป็นไปตามที่เขาร่ำลือกัน
ปาฏิหาริย์ครั้ง ปี พ.ศ.2519 เกิดน้ำท่วมใหญ่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง รวมทั้งท้องที่อำเภอบ้านดุง แต่น้ำไม่ท่วมคำชะโนด คุณครูไม่ใหญ่เมตตาให้คำตอบไว้ว่า ที่ น้ำไม่ท่วม เพราะพญานาครักษาไว้ เนื่องจากมีศาลบูชาพญานาค 2 ท่าน โดยนาคบริวารช่วยกันร่ายมนตร์แล้วหนุน ดุน ดัน แผ่นดิน เป็นเหตุให้สูงขึ้นจนพ้นน้ำ
ตำนานป่าคำชะโนด ในตำนานอุรังคธาตุ ได้กล่าวถึงพญานาคในตอนหนึ่งว่า มีพญานาคสองตนชื่อ “พระยาสุวรรณนาค” และ “พระยาสุทโธนาค” ได้ครอบครอง “หนองแส”อยู่คนละส่วน วันหนึ่ง พญานาคทั้งสอง เกิดขัดข้องหมองใจกัน เรื่องแบ่งปันอาหาร จึงก่อสงครามต่อสู้กัน ทั้งสองฝ่ายต่างสู้รบกันอยู่นานถึง 7 ปี 7 เดือน 7 วัน เป็นเหตุให้เดือนร้อนไปทั้งสามภพ ทั้งภพบาดาล ภพมนุษย์ และภพสวรรค์
การสู้รบของพญานาคทั้งสอง บังเกิดความร้อนถึงพระอินทร์ พระอินทร์จึงได้เสด็จมายังหนองแส แล้วเข้าห้ามปรามมิให้รบพุ่งกัน จากนั้น พระอินทร์จึงตั้งกติกา ให้พญานาคทั้งสองแข่งขันกัน ขุดแม่น้ำโขง และแม่น้ำน่าน ใครขุดถึงทะเลก่อนกัน พระอินทร์จะมอบปลาบึกให้เป็นรางวัล ในที่สุดก็ปรากฏว่า พระยาสุทโธนาค เป็นฝ่ายชนะ จึงเป็นผู้ได้ปลาบึกมาไว้ยังแม่น้ำโขงแต่เพียงผู้เดียว ดังนั้น ปลาบึก จึงปรากฏมีเพียงในแม่น้ำโขงเพียงแห่งเดียวเท่านั้นในโลก
นอกจากนี้ พระยาสุทโธนาค ยังได้ร้องขอเอาปากปล่องประตูทางขึ้นลง ต่อพระอินทร์ เพื่อติดต่อกับเมืองมนุษย์ และสวรรค์ไว้สามแห่ง
ปากปล่องพญานาคแห่งที่หนึ่ง อยู่ที่บริเวณ “พระธาตุหลวง” ใจกลางกำแพงนครเวียงจันทร์ ประเทศลาว บางตำนานเล่าว่า บริเวณใต้ฐานพระธาตุหลวง จะมีลักษณะเป็นปากปล่อง มีโพรงลึก เป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ลงไปใต้ดิน ซึ่งต่อมา ได้สร้างพระธาตุครอบไว้
ปากปล่องพญานาคแห่งที่สอง อยู่บริเวณ “ดอนจันทร์” ของประเทศลาว ดอนจันทร์ เป็นเกาะขนาดใหญ่กลางแม่น้ำโขง ตรงข้ามกับอำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย ผู้คนลุ่มน้ำโขงแถบนี้เชื่อว่า บริเวณหาดดอนจันทร์ มีประตูพญานาค ที่พระยาสุทโธนาค ร้องขอไว้อีกแห่งหนึ่ง
ปากปล่องพญานาคแห่งที่สาม อยู่ที่ “เมืองคำชะโนด” ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี “คำชะโนด” มีลักษณะเป็นเกาะขนาดใหญ่โผล่ขึ้นกลางน้ำ
ทั่วอาณาบริเวณคำชะโนด มีต้นไม้ลักษณะประหลาดชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นเต็มบริเวณ ต้นไม้ชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า “ต้นชะโนด” จากหลักฐานข้อมูล ลักษณะของต้นไม้ชนิดนี้ ได้รับการยืนยันว่า มีอยู่เฉพาะที่นี่แห่งเดียวเท่านั้นในโลก ต้นชะโนด มีลักษณะคล้ายกับต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาลผสมกัน แต่มีขนาดเล็กกว่าต้นตาล ลำต้นเท่ากับต้นมะพร้าว มีกาบห่อหุ้ม ตามกาบรอบต้นจะมีหนามยาวแหลมคมน่าเกรงขาม เมื่อยามต้นชะโนดต้องลม จะมีเสียง วืดๆ หวือๆ ฟังแล้วน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก บริเวณด้านในของเกาะคำชะโนด มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หรือ ปล่องพญานาค ปรากฏอยู่ในนั้น
วังนาคินทร์ คำชะโนดแห่งนี้ ปรากฏตำนานลี้ลับ และเรื่องราวมหัศจรรย์มากมายให้กล่าวขาน ตามตำนานเล่าว่า พระอินทร์ให้ พระยาสุทโธนาค มาตั้งบ้านเรือนอยู่ถิ่นนี้ ซึ่งมีต้นชะโนดขึ้น และพระอินทร์ได้กำหนดไว้ว่า ในหนึ่งเดือน เมื่อถึงข้างขึ้น 15 วัน ให้พระยาสุทโธนาค กลายร่างเป็นมนุษย์ พระยาสุทโธนาค เมื่อกลายร่างเป็นมนุษย์ มีชื่อเรียกว่า “เจ้าพ่อพระยาศรีสุทโธ” มีวังนาคินทร์ คำชะโนด เป็นถิ่นพำนัก ส่วนอีก 15 วันในข้างแรม พระอินทร์กำหนดให้ พระยาสุทโธนาค และบริวาร กลายร่างเป็นนาค เมื่อพระยาสุทโธนาค กลายร่างเป็นนาค มีชื่อเรียกว่า “พระยานาคราชศรีสุทโธ” และให้อาศัยอยู่ในเมืองบาดาล ชาวบ้านที่ทำมาหากินอยู่ในละแวกนั้น มักจะพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในมิติลี้ลับอยู่เสมอ เช่น เห็นชาวเมืองชะโนด ไปเที่ยวงานบุญบ้าง เห็นผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอผ้าจากชาวบ้านบ้าง หรือบางครั้งชาวเมืองชะโนดจัดงานบุญประจำปี และว่าจ้างเอาภาพยนตร์เข้าไปฉายที่กลางเมืองชะโนด ก็เคยมี เป็นที่กล่าวขานกัน จนหน่วยฉายหนังเร่เมืองอุดร หวาดผวาไปตามๆ กัน หรือแม้เวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่บริเวณรอบๆ ตัวเกาะ เมืองชะโนดก็ยกตัวลอยขึ้นทั้งเกาะ น้ำจึงท่วมไม่ถึงตัวเกาะคำชะโนด ครั้งเมื่อเวลาน้ำลด ตัวเกาะก็จะลดลงเหมือนเดิม เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง
คำชะโนด แห่งนี้ มีบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า “ปล่องพญานาค” เคยมีคนนำไม้ไผ่ลำยาวๆ 3 ต้นมาต่อกัน แล้วหยั่งลงไป ปรากฏว่า ยังไม่ถึงพื้นเลย แต่แปลกที่ว่า เมื่อโยนเหรียญลงไป จะมองเห็นเหรียญได้หมด น้ำใสมาก ชาวบ้านมีความเชื่อว่า พญานาค ได้ออกมาจากปล่องนี้ บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นที่เชื่อถือกันว่า เป็นแหล่งที่อยู่ของพญานาคใต้บาดาล บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีลักษณะเป็นบ่อน้ำตามธรรมชาติ บ่อน้ำแห่งนี้มีเรื่องเล่ากันว่า เป็นบ่อศักดิ์สิทธิ์ บางท่านลองมาทำการอธิษฐานเสี่ยงสัตย์บารมีว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์จริงหรือไม่ โดยลองอธิษฐานให้น้ำภายในบ่อเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆ ก็ปรากฏว่า น้ำภายในบ่อแห่งนี้สามารถเปลี่ยนสีเป็นสีเหลือง สีแดง ได้ตามอธิษฐานจริงๆ ความโด่งดัง ความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของบ่อแห่งนี้ จึงทำให้ผู้คนทุกชนชั้น นำน้ำภายในบ่อไปรักษาโรค ไปดื่ม ไปอาบ ไปบูชาไว้ภายในบ้านเพื่อความเป็นสิริมงคลของตนเองและครอบครัว มีหลายรายที่นำน้ำภายในบ่อนี้ ไปรักษาอาการเจ็บป่วยของตนเองหรือของผู้อื่นก็ปรากฏเป็นอัศจรรย์ว่า เขาเหล่านั้นสามารถหายจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่บางโรคนั้น แพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่รับรักษาแล้ว หรือเป็นเรื้อรังมานานแม้รักษาเท่าใดอาการก็ไม่เคยทุเลา ก็ลองนำน้ำภายในบ่อนี้มาใช้ดูก็ปรากฏว่า โรคที่เรื้อรังมาแต่เดิมกลับสามารถหายได้อย่างไม่คาดฝันมาก่อนเลย
ความอัศจรรย์จากบ่อน้ำแห่งนี้ยังมีอีก คือระดับน้ำในสระนั้นสามารถขึ้นลงได้เช่นเดียวกันกับระดับน้ำในแม่น้ำโขง ประการต่อมาคือยามที่มีบั้งไฟพญานาคบางครั้งก็จะมีลูกไฟลอยขึ้นมาจากสระน้ำแห่งนี้เช่นเดียวกัน สร้างความประหลาดใจกับชาวบ้านมานักต่อนักแล้ว อีกประการหนึ่งคือที่สระน้ำแห่งนี้จะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายว่า มีสิ่งมีชีวิตบางอย่างหายใจอยู่ใต้น้ำ ชาวบ้านเขาก็เชื่อว่าพญานาคท่านหายใจออกมา บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่มีคนไปอธิษฐานให้รักษาโรคนั้น บางคนหาย บางคนไม่หาย ขึ้นอยู่กับบุญบาปหรือการกระทำของตัว รวมทั้งความเชื่อด้วย หากพญานาคช่วยใครได้สำเร็จ พญานาคก็จะได้บุญและบารมี แล้วก็จะมีคนไปนับถือเป็นสรณะ เป็นที่พึ่ง ซึ่งก็ยังไม่ใช่ที่พึ่งที่แท้จริง เพราะพญานาคยังต้องพึ่งพระรัตนตรัย
สรุป
ในปัจจุบันนี้การนำคำว่าพญานาคมาใช้ สำหรับผู้ที่จะเข้าอุปสมบทเป็นพระ ที่เรารู้จักกันว่า “นาค”ยังมีให้เห็นทั่วไป ซึ่งพื้นฐานของความเชื่อในเรื่องพญานาคนั้น มีพระไตรปิฎกเป็นหลัก ด้วยมีการกล่าวถึงพญานาคอยู่หลายวาระ แม้ผู้ไม่เชื่อในเรื่องพวกนาคก็ยังคงระมัดระวังคำพูดคำจา ไม่กล้าวิจารณ์ในเรื่องนี้เพราะเกรงว่าบางทีพญานาคอาจมีจริง ผู้เข้าอุปสมบทเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาแม้ไม่เชื่อ หรือไม่รู้จักพญานาค ย่อมรู้จักอัตรายิกธรรมทุกคน อัตรายิกธรรม คือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ ซึ่งมีอยู่ ๘ ข้อ อันพระอุปัชฌาย์จะต้องถามผู้ขอบวช ๘ คำถาม คือ“ท่านเป็นมนุษย์หรือไม่” ความจริงของเรื่องนี้มีปรากฏชัดเจนในพระไตรปิฎก พญานาคตนหนึ่งฟังธรรมของพระพุทธองค์จนบังเกิดความเลื่อมใส คิดออกบวชเพื่อติดตามพระพุทธองค์ ซึ่งเวลานั้นเป็นห้วงครึ่งพุทธกาล อันพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตให้คณะสงฆ์เป็นคณะอุปสมบทผู้มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนาได้ พญานาคตนนั้นสบโอกาส จึงขอบวชกับคณะสงฆ์ และได้เป็นพระภิกษุสมใจปรารถนา หลังจากบวชแล้ว พญานาคตนนั้นได้พำนักในวัดที่พระพุทธองค์ประทับอยู่ เพื่อจะได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์ แต่ความที่เป็นพญานาคจึงมีความเป็นอยู่แตกต่างไปจากมนุษย์ คือในขณะหลับโดยไร้สติในกุฏิของตนนั้น ร่างเดิมของพญานาคก็จะปรากฏขึ้น บังเอิญมีพระภิกษุรูปหนึ่งมาเห็นเข้าจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลพระพุทธองค์ และได้ทรงเรียกพญานาคตนนั้นเข้าเฝ้าให้พญานาคสิ้นสุดความเป็นภิกษุ แล้วทรงเมตตาประทานโอวาทธรรมเพื่อเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติแก่พญานาค พญานาคผิดหวังในการบวชเป็นอย่างมาก จึงทูลขอถวายคำว่า นาค ให้แก่ผู้ขอบวชเพื่อเป็นอนุสรณ์ พระพุทธองค์ทรงเมตตาตามคำทูลขอนั้น จึงเป็นเหตุให้เกิดคำว่า บวชนาค และเกิด อัตรายิกธรรม เป็นต้นมา
ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ชาวพุทธควรยึดถือปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอด้วยความเข้าใจและถูกต้อง/ตรงประเด็น ป่าคำชะโนด เป็นป่าศักดิ์สิทธิ์ หลายๆคนรู้จักตามข่าวว่า “ตำนานผีจ้างหนัง,วังบาดาลของพญานาค,มีการเสี่ยงโชคถูกหวยเป็นล้านๆ,มีละครเรื่อง นาคี” เป็นต้น ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับศรัทธาหรือความเชื่อของชาวพุทธที่มีต่อพระพุทธศาสนา เพราะในบริบทของสังคมไทยนั้นมีความเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับพุทธ พราหมณ์ ผี มาตลอด ฉะนั้นแล้วชาวไทยจึงมีเสรีภาพในความเชื่อในเรื่องต่างๆที่กล่าวมานั้น แต่หากได้ศึกษาให้ดีแล้ว การมีความเชื่อเป็นสิ่งที่ดี แต่จะดีกว่านั้น คือต้องประกอบด้วยเหตุผล หรือประกอบด้วยปัญญานั้นเอง
ปัจจุบันนี้ คำชะโนด เป็นสถานที่ ที่ทำให้คนทั่วไปรู้จักอุดรธานีหรือทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเลยก็ว่าได้ ผู้เขียนบทความนี้เยไปหลายครั้ง ไปตั้งแต่สมัยที่คำชะโนดยังไม่เป็นที่รู้จัก จนปัจจุบันนี้ ระยะทางก่อนที่จะถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้สักประมาณ 5 กิโลเมตร มีการขายเครื่องบูชา บายศรี ดอกไม้ ธูปเทียน ซึ่งนอกจากจะทำให้คนแถบนั้นหรือคนพื้นที่มีรายได้แล้ว ยังทำให้เมืองอุดรธานีน่าอยู่มากขึ้น พื้นคืนชีพมารุ่งเรืองได้อย่างมาก โดยเฉพาะวัดศรีสุทโธ หรือวัดคำชะโนด มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มีการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อรองรับผู้คนเป็นจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามากราบขอพรในสถานที่ดังกล่าว ไม่ว่าศรัทธาจะเกิดขึ้นเพราะสิ่งใดก็แล้วแต่ แต่สิ่งที่สังเกตเห็นได้คือ ประเทศไทยของเราเป็นเมืองพุทธแต่ก็ไม่สามารถแยกออกจาก ผี และ พราหมณ์ได้ หมายถึง มีการบูชา พระรัตนตรัย มีการบูชาพญานาค มีการบูชา พระภูมิเจ้าที่ ผี ต่างๆ ซึ่งเป็นที่ที่ดีว่ามีที่ยึดเหนี่ยวของจิตใจ เพราะสิ่งเหล้านี้ตามหลักวิทยาศาสตร์อาจมองเป็นเรื่องงมงาย แต่เรามองวิฤตให้เป็นโอกาสก็จะพบว่าปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ช่วยทำให้หรือมีผลดี แก่พระพุทธศาสนาทั้งทางตรงและทางอ้อม