ประวัติ
สันนิษฐานว่า ประเพณีชักพระน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากประเทศอินเดียตามศาสนาพราหมณ์ ซึ่งนิยมนำเอาเทวรูปออกแห่แหนในโอกาสต่าง ๆ เช่น การแห่เทวรูปพระอิศวร เทวรูปพระนารายณ์ เป็นต้น พุทธศาสนิกชนจึงนำแนวคิดนี้มาดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเชื่อทางพุทธศาสนา ที่เล่ากันว่า หลังจากพระพุทธองค์ทรงกระทำยมกปาฏิหาริย์ปราบเดียรถีย์ ณ ป่ามะม่วง ในกรุงสาวัตถี แล้วได้เสร็จไปจำพรรษา ณ สวรรค์ชั้นดาวดึงส์เพื่อโปรดพระพุทธมารดา พระพุทธองค์ได้เสด็จกลับมนุษยโลกทางบันไดทิพย์ที่พระอินทร์นิมิตถวาย ประกอบด้วยบันไดทอง บันไดเงินและบันไดแก้ว
พระพุทธองค์เสด็จมาถึงประตูนครสังกัสสะตอนเช้าตรู่ของวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ซึ่งเป็นวันออกพรรษา พุทธศาสนิกชนได้ทราบกำหนดการ การเสด็จกลับของพระพุทธองค์จากั ต่างมารอรับเสด็จพร้อมกับเตรียมภัตตาหารไปถวายด้วย แต่เนื่องจากไม่สามารถเข้าไปถวายภัตตาหารถึงพระพุทธองค์ได้ทุกคน จึงจำเป็นที่ต้องเอาภัตตาหารห่อใบไม้ส่งต่อ ๆ แต่ก็ไม่สามารถส่งได้ทันใจจึงต้องโยนบ้าง ปาบ้าง เหตุการณ์นี้จึงเกิดประเพณี ห่อต้ม หรือ ห่อปัด จากนั้นได้อัญเชิญพระพุทธองค์ขึ้นประทับบนบุษบก แห่ไปยังที่ประทับของพระองค์ ภายหลังจึงมีประเพณีเช่นนี้สืบต่อกันมาในทุกวันแรม 1 ค่ำ เดือน 11
จากบันทึกของอี้จิง ภิกษุชาวจีน ซึ่งจาริกผ่านคาบสมุทรมลายู เมื่อ พ.ศ. 1214–1238 ได้เห็นประเพณีนี้ที่เมืองโฮลิง (ตันมาลิงหรือตามพรลิงค์) จึงเชื่อว่าประเพณีชักพระน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยศรีวิชัย โดยบันทึกไว้ว่า พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งมีคนแห่แหนนำมาจากวัดโดยประดิษฐานบนรถหรือบนแคร่มีพระสงฆ์และฆราวาสหมู่ใหญ่แวดล้อมมา มีการตีกลองและบรรเลงดนตรีต่าง ๆ มีการถวายของหอมดอกไม้และถือธงชนิดต่าง ๆ ที่ทอแสงในกลางแดด นอกจากนี้ยังมีบันทึกในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ มีระบุถึงผู้ตีกลอง ว่า "ขุนรันไภรีถือศักดินา 200 พนักงานตีกลองแห่พระ" ตำแหน่งนี้มีมาจนสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งปรากฏอยู่ในทำเนียบข้าราชการเมืองนครศรีธรรมราชครั้งรัชกาลที่ 2 ว่า "ขุนรันไภรีถือศักดินา 200 พนักงาน ตีกลองแห่พระ"
ขั้นตอน
ก่อนถึงวันชักพระจะมี การคุมพระ ที่วัด คือ จะตีตะโพนหรือกลองเพลก่อนจะถึงวันชักพระประมาณ 10–15 วัน เพื่อเป็นการเตือนชาวบ้านว่าจะมีการชักพระ หลังจากนั้นพระสงฆ์และชาวบ้านจะช่วยกันเตรียมเรือ ถ้าเป็นการชักพระทางบก จะมีการจัดเตรียมขบวนผู้คนที่จะชักพระ ชุดแต่งตัวสำหรับการลากเรือพระ หรือมีการฟ้อนรำหน้าเรือพระ หากเป็นการชักพระทางน้ำ ชาวบ้านจะเตรียมตัวตกแต่งเรือพาย สรรหาฝีพาย และเตรียมเครื่องแต่งตัว การชักพระจะเริ่มตอนเช้าตรู่ของวันออกพรรษา แรม 1 ค่ำ เดือน 11 และเริ่มชักพระเป็นวันแรก ประชาชนจะเดินทางไปวัด เพื่อนำภัตตาหารไปใส่บาตร หลังจากที่พระฉันภัตตาหารเสร็จ ชาวบ้านจะนิมนต์พระภิกษุในวัดขึ้นนั่งประจำเรือพระ แล้วชาวบ้านจะช่วยกันลากเรือพระ ออกจากวัดตั้งแต่เช้าตรู่ หากเป็นทางน้ำจะใช้เรือพายลาก ถ้าเป็นการชักพระทางบก จะใช้คนเดินลาก ซึ่งก่อนถึงช่วงเวลาเพล เรือพระที่ลาก จะมาถึงที่ชุมนุมเรือพระ ทั้งการชักพระทางบกและการชักพระทางน้ำ เพื่อให้ประชาชนถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณร ที่ชุมนุมเรือพระจึงคับคั่งไปด้วยประชาชน
สถานที่จัด
การชักพระทางน้ำที่โด่งดังและมีชื่อเสียงอยู่ที่อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร อำเภอพุนพินและอำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี จังหวัดสุราษฎร์ธานี
อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช และอำเภอระโนด จังหวัดสงขลา ส่วนงานที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มีชาวมาเลเซียเชื้อสายไทย จากรัฐเปรัก ร่วมกันชักลากเรือพระรวมถึงส่งเรือร่วมงาน
ประเพณีชักพระของจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันยังคงมีในหลายพื้นที่ ได้แก่ อำเภอไชยา อำเภอท่าฉาง อำเภอพุนพิน อำเภอกาญจนดิษฐ์ อำเภอเกาะสมุย อำเภอเกาะพะงัน อำเภอเวียงสระ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ส่วนอำเภออื่นๆ แม้ไม่ได้มีการจัดงานประเพณีชักพระในอำเภอแต่ล้วนมีส่วนร่วมในงานประเพณีชักพระทั้งสิ้น เช่น ส่งเรือพระเข้าร่วมงานประเพณีชักพระที่ทางอำเภอเมืองจัดขึ้น
ในกรุงเทพมหานครมีการจัดงานประเพณีชักพระหรือในปัจจุบันเรียกว่า
งานแห่พระบรมสารีริกธาตุ จัดในช่วงวันแรม 2 ค่ำ เดือน 12 มีพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุสู่พระมณฑป ณ วัดนางชี เขตภาษีเจริญ ใช้เส้นทางคลองด่านผ่านคลองบางกอกใหญ่เข้าคลองชักพระ และสิ้นสุดที่สำนักงานเขตตลิ่งชัน
เรือพระ
เรือพระมีวิวัฒนาการมาจากหนวน ซึ่งมีไม้ท่อนสองท่อนใหญ่ ส่วนหัวและท้ายมีรูปลักษณ์คล้ายเรือ วางเคียงกันมีระยะห่างประมาณ 15 เมตร สำหรับวางกระบะไม้เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้ไม้แผ่นเรียบด้านล่างและตีกั้นรอบ ๆ ทั้งสี่ด้านเพื่อบรรทุกสิ่งของต่าง ๆ ใช้สัตว์ชักลาก ต่อมามีการใช้ล้อเลื่อน ทำรถสำหรับบุษบกซึ่งประดิษฐานพระพุทธรูปเพื่อชักลาก หากเป็นการชักพระทางบก บุษบกจะตั้งอยู่บนพาหนะ ทำเป็นรูปเรือหรือพญานาคเรียกกันว่า นมพระ (พนมพระ) หากเป็นทางน้ำเรียก เรือพระ คือการเอาเรือหลายลำมาเทียบเรียงขนานผูกติดกันเป็นแพขนาดใหญ่ ประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงาม มีเครื่องดนตรีประโคมไปตามทางน้ำ ทำให้เกิดประเพณีการละเล่นตามมา เช่น การเล่นเพลงเรือ การประชันปืด (ตะโพน) การประชันโพน(กลอง) การแข่งเรือ และการประกวดประชันอื่น ๆ ตลอดจนการสร้างพระพุทธรูปขึ้นใหม่ เพื่อใช้ในงานประเพณี
สรุป
ประเพณีชักพระเป็นประเพณีที่มีความสำคัญในด้านศาสนาและวัฒนธรรมไทย โดยมีการชักพระเพื่อบูชาพระพุทธศาสนาและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชน ผ่านการทำบุญและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความเชื่อและค่านิยมทางศาสนาอย่างลึกซึ้ง ในปัจจุบันประเพณีชักพระยังคงมีการจัดขึ้นในหลายๆ ภูมิภาคของไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ ซึ่งการชักพระจะถูกจัดขึ้นในช่วงเทศกาล ออกพรรษา หรือ สงกรานต์ การจัดงานนั้นมักจะประกอบไปด้วยกิจกรรมต่างๆ เช่น การชักพระ การทำบุญตักบาตร การแห่พระรอบหมู่บ้าน การประกวดเรือพระ และการสวดมนต์ถวายพร
นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงดนตรีพื้นบ้านและการแสดงทางวัฒนธรรมเพื่อเพิ่มสีสันให้กับงาน ถือเป็นโอกาสที่ประชาชนได้มาร่วมกิจกรรมทางศาสนาและสร้างความสุขร่วมกัน และในปัจจุบันนั้นได้แปรเปลี่ยนไปตามยุคสมัยและกาลเวลา เพราะเรือพระทุกวันนี้ส่วนใหญ่นิยมใช้รถยนต์ (กระบะ) ตกแต่งด้วยโฟมแกะสลักเป็นลวดลายไทย สีสันสวยงาม แต่ก็มีบางพื้นที่ยังคงใช้รูปแบบโบราณคือใช้คนลากเรือพระไปตามเส้นทาง เช่น ที่วัดมะม่วงหมู่ และขณะที่ลากเรือพระไปใครจะมาร่วมทำบุญด้วยการแขวนต้มบูชาพระ หรือร่วมลากตอนไหนก็ได้ เกือบทุกท้องถิ่นกำหนดให้มีจุดนัดหมาย เพื่อให้บรรดาเรือพระทั้งหมดในละแวกใกล้เคียง ไปชุมนุมรวมตัวในที่เดียวกันในเวลาก่อนพระฉันเพล ให้พุทธศาสนิกชนได้มีโอกาส "แขวนต้ม" และถวายภัตตาหารแก่พระภิกษุสามเณรได้ทั่วทุกวัดหรือมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โอกาสนี้จึงก่อให้เกิดการประกวดประชันกันขึ้นโดยปริยาย เช่น การประกวดเรือพระ การแข่งขันเรือพายประเภทต่าง ๆ เช่น มีฝีพายมากที่สุด แต่งตัวสวยงามที่สุด หรือตลกขบขัน การประกวดเรือพระสมัยก่อน รางวัลที่ได้ก็มีเช่น น้ำมันก๊าด กาน้ำ ถ้วยชาม สบง จีวร เพราะเป็นสิ่งจำเป็น แต่ปัจจุบันรางวัลจะให้เป็นเงินสด