จองเปรียง – ลดชุด – ลอยโคมก่อน แล้วค่อยลอยกระทง
ประเพณีหรือพิธีกรรมต่าง ๆ นั้น ล้วนมีความสัมพันธ์กันระหว่างการดำรงชีวิตของมนุษย์กับธรรมชาติและอำนาจเหนือธรรมชาติ โดยเฉพาะวัฒนธรรมของผู้คนที่อาศัยอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งตามลักษณะทางภูมิศาสตร์นั้นเป็นเขตพื้นที่มรสุม การใช้ชีวิตของผู้คนในภูมิภาคนี้ย่อมมีความเกี่ยวข้องกับน้ำ ทั้งแม่น้ำ น้ำฝน และน้ำทะเล จึงสามารถพบเห็นประเพณีหรือพิธีกรรมในหลายวัฒนธรรมที่มีความสัมพันธ์กับ “น้ำ” เสมอ ทั้ง “น้ำแล้ง” ที่มักจะมีการประกอบพิธีขอฝน เพื่อให้การทำไร่ไถนาเพาะปลูกเป็นไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ หรือ “น้ำหลาก” ซึ่งมักพบพิธีกรรมเพื่อแสดงความเคารพบูชา ขอไม่ให้น้ำหลากมาท่วมทำลายพืชผลไร่นา
หนึ่งในพิธีที่มีความสัมพันธ์กับการขอขมาธรรมชาติ มีชื่อว่า พระราชพิธีจองเปรียง หรือ พิธีจองเปรียง ซึ่งกระทำเพื่อเป็นการการขอขมาต่อดินและน้ำ หรือการขอขมาต่อพระแม่ธรณีและพระแม่คงคา ที่ให้ชีวิต ให้ความอุดมสมบูรณ์ต่อการเพาะปลูก โดยพระราชพิธีจองเปรียงจัดขึ้นในเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นฤดูที่น้ำทรง คือน้ำระดับน้ำนิ่ง ดังคำกลอนโบราณได้กล่าวว่า “เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง เดือนอ้ายเดือนยี่ น้ำรี่ไหลลง” การขอขมาต่อดินและน้ำ เพื่อให้น้ำที่นองหลากอยู่นั้นลดลง ชาวนาชาวไร่จะได้เกี่ยวข้าวและเก็บเกี่ยวพืชผลได้
พระราชพิธีจองเปรียงจะทำโดยการชักโคมซึ่งเป็นการปฏิบัติเพื่อบูชา ซึ่งเป็นพิธีที่ได้ต้นแบบมาจาก “ดิวาลี” (Diwali) หรือพิธีบูชาไฟของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูจากอินเดีย และนำมาปรับให้เข้ากับคติตามพระพุทธศาสนา จึงมีการยกโคมเพื่อสักการะบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในหนังสือ พระราชพิธีสิบสองเดือน พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชนิพนธ์ถึงพระราชพิธีจองเปรียง ซึ่งเป็นพระราชพิธีในเดือนสิบสอง ไว้ว่าเป็นพระราชพิธีที่มีมาตั้งแต่โบราณ ในกฎมณเทียรบาลระบุถึงพิธีนี้ไว้ แต่ก็ไม่ได้เขียนไว้ชัดเจนมากนัก
“... การพระราชพิธีในเดือน 12 ซึ่งมีมาในกฎมนเทียรบาลว่าพิธีจองเปรียง ลดชุดลอยโคม ตรวจดูในความพิสดาร ในกฎหมายนั้นเองก็ไม่มีข้อความใดกล่าวถึงเสาโคมและการจุดโคมอย่างหนึ่งอย่างใดชัดเจน หรือจะเป็นด้วยเป็นการจืด ผู้ที่แต่งถือว่าใครๆ ก็เห็นตัวอย่างอยู่แล้วไม่ต้องกล่าว มีความแปลกออกไปนิดเดียว แต่ที่ว่าการพิธีจองเปรียงลดชุดลอยโคม และเติม “ลงน้ำ” เข้าอีกคำหนึ่ง คำที่ว่า “ลงน้ำ” นี้จะแปลว่ากระไรก็สันนิษฐานยาก จะเข้าใจว่าเอาโคมที่เป็นโครงไม้ไผ่หุ้มผ้าที่ชักอยู่บนเสามาแต่ต้นเดือนลดลงแล้วไปทิ้งลงน้ำก็ดูเคอะไม่ได้การเลย หรืออีกอย่างหนึ่งจะเป็นวิธีว่าเมื่อลดโคมแล้ว ลอยกระทง สมมติว่าเอาโคมนั้นลอยไปตามลัทธิพราหมณ์ ที่พอใจลอยอะไรๆ จัดอยู่เช่นกับลอยบาปล้างบาป จะถือว่าเป็นลอยเคราะห์ลอยโศกอย่างใดไปได้ดอกกระมัง การก็ตรงกันกับลอยกระทง ลางทีจะสมมุติว่าลอยโคม ข้อความตามกฎมนเทียรบาลมีอยู่แต่เท่านี้...”
ขณะที่ สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้กล่าวถึง พิธีจองเปรียงว่า มีการเขียนถึงพิธี “จองเปรียงลดชุดลอยโคมลงน้ำ” ไว้ในกฎมณเทียรบาล สมัยอยุธยาตอนต้น เป็นพิธีขอขมาต่อดินและน้ำ โดยจองเปรียงเป็นพิธีชักโคม มีเสาโคมแขวน เพื่อชัดโคมขึ้นไปส่องสว่าง เมื่อถึงเวลาก็ลดลงไปลอยน้ำเพื่อขอขมาดินและน้ำ และได้อภิปรายความหมายของ จองเปรียงลดชุด ไว้ว่า
จองเปรียง หมายถึง โคมมีชุดดวงไฟได้จากการจุดเผาน้ำมัน แล้วชักด้วยสายรอกยกโคมไฟขึ้นแขวนยอดเสา
จอง มาจากคำเขมร ว่า “จง” (อ่าน จอง) แปลว่า ผูก, โยง ในที่นี้หมายถึงดูแลประคับประคองให้มีแสงสว่าง (ผู้รู้ภาษามอญ กล่าวว่าจอง แปลว่า เผา)
เปรียง มาจากคำเขมรว่า “เปฺรง” (อ่านว่า เปรง) แปลว่า น้ำมัน
ลดชุด หมายถึง เครื่องจองเปรียงลดขนาดเล็กลง เพื่อจัดวางเรียงเป็นแถวเป็นแนวเรียก “ตามไฟ” ในช่องที่เจาะไว้ตามผนังกำแพงเมือง-กำแพงวัง
ส่วนพิธีลดชุดลอยโคม ปรากฏอยู่ใน “ทวาทศมาสโคลงดั้น” ซึ่งเป็นวรรณกรรมสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ไว้ว่า ในเวลาดึกมีการจุดโคมถวายพระ ผู้คนทั้งชายหญิงออกมาเที่ยวเล่นชมดนตรี มีการชักโคมขึ้นเสาแขวนไว้สว่างไสวเรียงรายกัน
๏ กรรดึกเดือนตั้งแต่ง โคมถวาย
ทุกทวยหญิงชายแสวง ล่องเหล้น
ขับซอปี่แคนหลาย เพลงพาทย์
ดิ่งดิ่งนิ้วน้าวเต้น ร่อนรำ ฯ
๏ เสาโคมสราวสราดขึ้น แขนถวาย
ใจพี่แขวนขวัญจง ไป่ม้วย
ไฟกามกำเดาตาย ดักด้าว เดียวแม่
นุขบ่แรมร้อนด้วย พี่เลย ฯ
๏ สายโคมราวรย้า รยังราย
คือกังหันลม รอกร้อง
สราวโคมปั้นขวัญหาย หาแม่
เสียงรอกรากพานต้อง โตรดตรม ฯ
๏ ร่ำรักเดือนอ้ายถั่น ถึงมา มาฮา
ฟ้าจากเจียรกินแหนง ลห้อย
อกแล้งนอกนัยนา เลอล่ง
แลท่งธารน้ำน้อย น่านหาย ฯ
พิธีลอยโคมจึงไม่ได้เป็นพระราชพิธีหลวงเท่านั้น แต่ยังเป็นการเฉลิมฉลองของผู้คนทั่วไป ดังพระราชนิพนธ์ พระราชพิธีสิบสองเดือน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้พระราชนิพนธ์ถึง การลอยพระประทีป ว่า “การลอยพระประทีปลอยกระทงนี้ เป็นนักขัตฤกษ์ที่รื่นเริงทั่วไปของชนทั้งปวงทั่วกัน ไม่เฉพาะแต่การหลวง แต่จะนับว่าเป็นพระราชพิธีอย่างใดก็ไม่ได้ ด้วยไม่ให้มีพิธีสงฆ์ พิธีพราหมณ์อันใดเกี่ยวข้องเนื่องในการลอยพระประทีปนั้น เว้นไว้แต่จะเข้าใจว่าตรงกับคําที่ว่าลอยโคมลงน้ำเช่นกล่าวมาแล้ว แต่ควรนับว่าเป็นราชประเพณีซึ่งมีมาในแผ่นดินสยามแต่โบราณ...”
พระราชพิธีจองเปรียง ลดชุด ลอยโคมลงน้ำในสมัยอยุธยา จึงเป็นการกระทำเพื่อขอขมาต่อดินและน้ำ ผู้ให้ความอุดมสมบูรณ์ต่อการเพาะปลูก เลี้ยงดูผู้คนทั้งหมดในบ้านเมืองนี้ โดยเฉพาะ การลอยโคมนั้นซึ่งมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ แสดงให้เห็นว่าเป็นพิธีกรรมที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานหลายพันปี พระราชพิธีจองเปรียง ลดชุด ลอยโคมลงน้ำ จึงเป็นต้นเค้าของประเพณีลอยกระทงที่ยึดถือปฏิบัติสืบมาจนถึงทุกวันนี้
ภาพที่ 1 การลอยพระประทีปของหลวง
หมายเหตุ : จาก พระราชพิธี 12 เดือน ปฏิทินชีวิตของชาวสยามประเทศ, โดย วิยะดา ทองมิตร (ผู้เขียน) สุทธิชัย ฤทธิ์จตุพรชัย (ผู้วาด), 2561, เมืองโบราณ. สงวนลิขสิทธิ์ โดย สำนักพิมพ์เมืองโบราณ.
ข้อมูลอ้างอิง
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม. (27 พฤศจิกายน 2566). พิธี “จองเปรียง ลดชุดลอยโคม” ต้นแบบ “ลอยกระทง” ยุครัตนโกสินทร์. ศิลปวัฒนธรรม. https://www.silpa-mag.com/culture/article_121899
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (2516) พระราชพิธีสิบสองเดือน. ศิลปาบรรณาคาร.
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. (ม.ป.ป.) พระราชพิธีสิบสองเดือน. ห้องสมุดดิจิทัลวัชรญาณ. https://vajirayana.org/พระราชพิธีสิบสองเดือน
ปรานี วงษ์เทศ. (2548). ประเพณี 12 เดือน ในประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมเพื่อความอยู่รอดของคน. สำนักพิมพ์มติชน.
ผู้สื่อข่าวพิเศษ. (7 พฤศจิกายน 2562). สุวรรณภูมิในอาเซียน : ลอยกระทงไทย จาก ลอยโคมจีน ขอขมาดินน้ำและธรรมชาติในศาสนาผี. มติชนออนไลน์.https://www.matichon.co.th/prachachuen/news_1744215
วิยะดา ทองมิตร. (2561). พระราชพิธี 12 เดือน ปฏิทินชีวิตของชาวสยามประเทศ. เมืองโบราณ.
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (25 กรกฎาคม 2563). ลอยกระทง มาจากลอยโคม สมัยอยุธยา ขอขมาธรรมชาติ. มติชนสุดสัปดาห์. https://www.matichonweekly.com/column/article_328566
สุจิตต์ วงษ์เทศ. (25 ตุลาคม 2563). ‘จองเปรียง’ พิธีบูชาไฟ สมัยอยุธยา ชักโคม และลดชุด. มติชนสุดสัปดาห์. https://www.matichonweekly.com/column/article_361016