4ปี หลังการประกาศเขตพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบ้านพุเม้ยง์ (บ้านภูเหม็น) ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี เกิดการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาติพันธุ์กะเหรี่ยงโผล่ว (โปว์) กลับมาได้มากน้อยเพียงใด มีการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในประเด็นใดบ้างแล้ว และมีการพัฒนาคุณภาพชีวิต การจัดการพื้นที่และการจัดการทรัพยากรธรรมเช่นใดบ้าง
คำถามหลายข้อผุดขึ้นจากมุมมองของหลาย “นัก” ทั้งนักพัฒนา นักวิชาการ นักกฎหมาย เจ้าหน้าที่ภาครัฐ และคนทั่วไป ที่มีต่อทั้งตัว “พื้นที่” และมีต่อ “แนวคิดพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์” ณ วันนี้ ผ่านไป 4 ปีแล้ว เรากลับมาที่บ้านพุเม้ยง์อีกครั้ง เพื่อมารับฟังสถานการณ์ปัญหาและทบทวนแนวทางการดำเนินงาน ว่าห้วงเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา เราดำเนินแนวทางการพัฒนาเพื่อแก้ปัญหาด้านคุณภาพชีวิตได้ตรงจุดมากน้อยเพียงใด ถ้าหากแนวทางดังกล่าวไม่ตรงจุด เราควรจะต้องเพิ่มข้อต่อด้านใด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพื้นที่
ในการจัดงานวันนี้จึงมีภาคีเครือข่ายผู้ร่วมก่อการดี มาช่วยกันทบทวนแนวทางการดำเนินงาน รับฟังความต้องการของชาวบ้าน แลกเปลี่ยนเครื่องมือการทำงาน และร่วมกันเสนอแนวทางการพัฒนาระยะต่อไปของพื้น
ก่อนที่กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาของชุมชนชาวกะเหรี่ยงโผล่วบ้านพุเม้ยง์ระยะต่อไปนั้น ขอกล่าวถึงความโด่ดเด่นของชุมชนสักเล็กน้อย เพื่อเป็นข้อมูลให้กับคนที่อยู่นอกวงการชาติพันธุ์ ได้ทราบถึงวิถีชีวิตและอัตลักษณะทางชาติพันธุ์ที่โดดเด่น
ชุมชนชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงโผล่ว “บ้านพุเม้ยง์” หรือชื่อหมู่ที่เป็นภาษาทางการว่า “บ้านภูเหม็น” พุเม้ยง์ เป็นชื่อดอกไม้ชนิดหนึ่งชื่อว่า “ดอกเข้าพรรษา” เป็นพันธุ์พืชชนิดหนึ่งที่ขึ้นมากบริเวณหมู่บ้าน จึงถูกนำมาตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน บ้านพุเม้ยง์เป็นชุมชนชาติพันธุ์ชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมอยู่ที่ตำบลทองหลาง อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี ชาวกะเหรี่ยงโผล่วตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้มาอย่างยาวนาน มีวิถีชีวิตพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติอย่างสอดคล้องและสมดุล ด้วยความโดดเด่นด้านวัฒนธรรมชาวกะเหรี่ยง (ด้ายเหลือง) ที่มี “เจ้าวัตร” และ “เจ้าย่า” เป็นผู้นำทางจิตวิญาณ ประกอบพิธีกรรมศักดิสิทธิ์ของหมู่บ้าน เช่น การไหว้เจดีย์ การไหว้ต้นไม้ การขอขมาแม่น้ำ พิธีกรรมเกี่ยวกับข้าว เป็นผู้ที่สืบทอดคำสอนและความเชื่อจากบรรพบุรุษชาวกะเหรี่ยง ด้วยความโดดเด่นด้านอัตลักษณะวัฒนธรรม พิธีกรรมความเชื่อ และการหนุนเสริมจากภาคีเครือข่ายด้านการพัฒนาทุกภาคส่วน ทำให้บ้านพุเม้ยง์สามารถจัดงานประกาศเป็น “พื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม” เมื่อเดือนธันวาคม ปี 2563 เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าชาวกะเหรี่ยงบ้านพุเม้ยง์ “จะดำรงชีวิตตามวิถีอัตลักษณ์ของชาติพันธุ์ตนเอง เป็นผู้อาศัยที่สร้างสมดุลให้กับธรรมชาติ ด้วยความเกื้อกูล พึ่งพา และรักษา” ซึ่ง 4 ปีที่แล้ว เจ้าวัตรและชาวบ้านมีข้อกังวลใจเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยและที่ทำกินของตนหลัก ๆ อยู่ 2 ข้อ คือ
1. การไม่สามารถดำเนินวิถีชีวิตตามจารีตประเพณีดั้งเดิมของตนได้ เช่น
1) ที่ดิน อันประกอบด้วย พื้นที่สำหรับเป็นที่อยู่อาศัย พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ใช้ประโยชน์ เพราะ
“วิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยงผูกติดกับพื้นที่” ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นจะต้องมีสิ่งบ่งชี้ที่เป็นไปตามลักษณะทางความเชื่อของการเคารพธรรมชาติ และต้องสามารถประกอบประเพณีพิธีกรรมตามความเชื่อได้ ดังนั้น หากไม่มีความมั่นคงในที่ดินจะทำให้วิถีชีวิต ความเชื่อ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการพึ่งพาตนเองหายไป
2) การเกษตร การเพาะปลูกด้วยระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน เพราะถือเป็นคลังอาหาร เป็นซูเปอร์มาเก็ตของชาวบ้าน การที่สามารถทำไร่หมุนเวียนได้ทำให้ลดค่าใช้จ่ายในการซื้ออาหาร
3) การพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในป่า ชาวบ้านหยิบยืมทรัพยากรจากธรรมชาติหลายอย่างเพื่อใช้ประโยชน์ในวิถีชีวิต เช่น 1. พันธุ์พืช (เมล็ดพันธุ์) ในป่ามีพืชผักผลไม้หลายชนิดเจริญเติบโต ชาวบ้านมักจะไปเก็บมากินแล้วนำเมล็ดพันธุ์มาขายเพาะปลูกต่อ 2. ขี้ผึ้ง สำหรับใช้ทำเทียนเพราะเทียนเป็นสิ่งสักการะสำคัญในการประกอบพิธีกรรมการไหว้เจดีย์ ซึ่งทั้งขี้ผึ้งและเมล็ดพันธุ์อยู่ในป่าที่มีหน่วยงานของรัฐกำกับดูแล ชาวบ้านจึงกังวลใจว่าอนาคตตนจะไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ และใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติเหล่านั้นได้
2. สัตว์ป่าที่ลงมากินผลผลิตทางการเกษตร จึงมีข้อสงสัยว่าพวกเขาจะสามารถดำเนินการเรื่องใดได้บ้าง เพื่อปกป้องผลผลิตทางการเกษตร เป็นการกระทำที่ไม่ผิดกฎหมาย และไม่ส่งผลเสียต่อสัตว์ป่า
มาในวันนี้ ชาวกะเหรี่ยงบ้านพุเม้ยง์ ต้องการบอกเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในห้วงเวลา 4 ปี ที่ผ่านมา หลังจากการเป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมภายใต้การดูแลพื้นที่ จำนวน 10,350 ไร่ ชุมชนมีความเปลี่ยนแปลงในเรื่องใดบ้าง และอนาคตจะทำสิ่งใดต่อ โดยชาวบ้านและภาคีองค์กรด้านการพัฒนาหลายหน่วยงาน ร่วมกันจัดงานเพื่อ “ทบทวนแนวทางพัฒนาคุณภาพชีวิตชาวกะเหรี่ยงบ้านพุเม้ยง์กับการเป็นพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม” ซึ่งมีการรับฟังความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของชาวบ้าน พร้อมทั้งเปิดพื้นที่กลางให้ภาคีหน่วยงานร่วมพัฒนาได้เสนอแผนงานโครงการของหน่วยงานที่อยากให้บ้านพุเม้ยง์ดำเนินการต่อ ดังนี้
1. “4 ปี” กับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นภายในชุมชนชาวกะเหรี่ยงบ้านพุเม้ยง์
ภายในงานมีการแลกเปลี่ยนแนวทางการดำเนินงานที่ผ่าน และการมาร่วมงานของพี่น้องจากบ้านป่าผาก บ้านห้วยหินดำ กะเหรี่ยงลุ่มน้ำตะเพินคี่ สุพรรณบุรีด้วย โดยภายในงานมีการรายงานความเปลี่ยนที่เกิดขึ้นจากการพัฒนา 4 ด้าน ดังนี้
ด้านที่หนึ่ง การดำรงวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมด้วยระบบเกษตรแบบไร่หมุนเวียน ชาวบ้านสามารถฟื้นฟูการทำไร่หมุ่นเวียนกลับมาได้จำนวน 10 แปลง สามารถเพาะปลูกพืชไร่ได้ผลิต คือ ข้าวขาว มัน แตงส้ม ฝ้าย และพริกกะเหรี่ยง ด้วยความหลากหลายทางระบบเกษตรทำให้ชาวบ้านมีเม็ดพันธุ์เพิ่มขึ้นจากเดิม 3 ชนิด ซึ่งแม่ ๆ พ่อ ๆ พี่ ๆ ได้บอกข้อดีของไร่หมุนเวียนว่ามีความสำคัญต่อชีวิต มีวัตถุดิบประกอบอาหารที่สมบูรณ์มากขึ้นลดรายจ่ายในครัวเรือน (เศรษฐกิจฐานราก) ในขณะที่เจ้าวัตรได้กล่าวถึงไร่หมุนเวียนว่า “มันเกิดขึ้น เติบโต แล้วก็ขึ้นใหม่ ทำให้มีกินตลอดชีวิต มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำเพราะ “หน้าที่เราคือดูแลน้ำป่าดิน” ไร่หมุนเวียนคือสิ่งที่ทำมาตั้งแต่บรรพบุรุษจะทำต่อไปเรื่อย ๆ และอยากให้ลูกหลานสานต่อแต่ก็ไม่บังหากไม่อยากทำ”
การได้กลับมาทำไร่หมุนเวียนอย่างที่ไม่ต้องเกรงกลัวความผิดทางกฎหมายนั้น ทำให้จิตวิญญาณความเป็นกะเหรี่ยงของชุมชนกลับมา ชาวบ้านมีความเชื่อมั่นในวิถีของตนมากขึ้น รู้สึกถึงความมั่นคงทางอาหารมากขึ้น สามารถพูดคุยถึงผลผลิตจากไร่หมุนเวียนด้วยภาคความภูมิใจและมีความมั่นใจมากขึ้น ไร่หมุนเวียนจึงไม่ใช้แค่พื้นที่เพาะปลูก แต่เป็นพื้นที่ที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงทางอาหารและความมั่นคงทางวัฒนธรรม
ด้านที่สอง การบริหารจัดการทรัพยากรในพื้นที่ ชาวบ้านช่วยกันดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมด้วยระบบการจัดการป่าแบบ 1 กลุ่มต่อ 1 ป่า เป็นการแบ่งบทบาทหน้าที่กันดูแลป่าและดูแลวังปลา
ด้านที่สาม การพัฒนาคุณภาพชีวิต การมีผลิตภัณฑ์ชุมชน ซึ่งได้รับการส่งเสริมและช่วยพัฒนาจากหลายภาคส่วน เช่น 1.ผ้าทอชาวกะเหรี่ยง มีลายที่เป็นอัตลักษณ์และบอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของกลุ่มและผ้าทอลายมัดหมี่ และ 2.น้ำผึ้ง โดยผลิตภัณฑ์ชุมชนทั้งสองชนิดได้รับการส่งเสริมให้กลายเป็นสินค้า OTOP ของตำบล
ด้านที่สี่ อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม เริ่มจากการฟื้นฟูภาษาและวัฒนธรรม มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาช่วยเรื่องภาษา ให้เกิดการสอนภาษากะเหรี่ยงให้กับเด็กและคนที่สนใจในชุมชน ด้านประเพณีวัฒนธรรมมีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นทั้งภายในและภายนอกชุมชน มีส่วนร่วมในงานประเพณีกะเหรี่ยงของหมู่บ้านอื่น ๆ โดยรอบด้วย ในส่วนของชุมชนมีประเพณีการกินขนมจีนเข้มแข็งมากขึ้น และประเพณีไหว้เจดีย์ ที่คนนอกชุมชนให้ความสนใจเข้าร่วมงานมากขึ้นทุกปี จึงคิดว่าหารจัดงานไหว้เจดีย์ปีหน้าจะมีการบริหารจัดการที่เป็นระบบมากขึ้น เช่น การจัดการในส่วนของผู้เข้าร่วมงาน จุดขายของ จุดทิ้งขยะ และจุดจอดรถ เพื่อสร้างความเป็นระบบระเบียน
2. แผนงานโครงการที่ภาคีหน่วยงานร่วมพัฒนาเสนอ
การพัฒนาคุณภาพชีวิตและการแก้ไขปัญหาในมิติต่าง ๆ ของพื้นที่ ถือว่ามีความก้าวหน้าให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม แต่การดำเนินงานที่ผ่านเป็นเพียงบันไดขั้นแรกที่เริ่มเดิน พื้นที่ยังคงต้องมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องและเป็นองคาพยพ เพื่อแก้ปัญหาได้อย่างครอบคุลม ป้องกันไม่ให้ปัญหาเดิมเกิดขึ้นซ้ำ ดังนั้น “การบูรณาการกลไกและเครื่องมือการทำงาน” ของภาคีเครือข่ายจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มาในวันนี้ ภาคีเครือข่ายได้เสนอแนวทางการดำเนินงานในระยะต่อไป โดยให้พี่น้องช่วยประเมินไปพร้อม ๆ กันว่าชุมชนจะสามารถดำเนินการในระดับใดได้บ้าง ซึ่งมีข้อเสนอแนวทางทั้งสิ้น 5 เรื่อง ดังนี้
1. การจัดทำแหล่งเรียนรู้ด้านวัฒนธรรม โดยนำข้อมูลและองค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมในมิติต่าง ๆ มาจัดทำเป็นเอกสาร แผ่นพับ หรือนิทรรศการ ติดตั้งไว้ที่ศาลาศูนย์วัฒนธรรมฯ เพื่อเผยแพร่องค์ความรู้ด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ให้กับคนภายนอกได้เข้ามาศึกษาได้
2. ความสำคัญของการมีฐานข้อมูลชุมชนบ้านพุเม้ยง์ เนื่องจากมีหลายหน่วยงานเข้ามาทำการพัฒนาในพื้นที่ แต่ชาวบ้านกลับไม่มีข้อมูลสำคัญของพื้นที่ จึงเห็นควรให้มีการรวบรวมข้อมูลของหน่วยงานให้เป็นระบบ และชาวบ้านสามารถเข้าถึงเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลได้ด้วยตนเอง ในประเด็นข้างต้นศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) มีความพร้อมในเรื่องของฐานข้อมูลสำหรับจัดเก็บข้อมูลชุมชน ซึ่งชุมชนสามารถนำเข้าข้อมูล และดึงข้อมูลออกไปไปใช้ประโยชน์ต่อได้
3. การยกระดับเป็นชุมชนท่องเที่ยวนวัตวิถี บ้านพุเม้ยง์เป็นชุมชนที่มีอัตลักษณะโด่ดเด่นเรื่องวัฒนธรรม ทั้งในเรื่องประเพณี วัฒนธรรม ความเชื่อ วิถีชีวิต การแต่งกาย การละเล่น และการแสดง ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดเป็นพื้นที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมระดับตำบล และระดับจังหวัด ต่อไปอีกได้
4. การสำรวจเพื่อจัดทำข้อมูลพื้นที่อย่างเป็นระบบ ขณะนี้มีการจัดทำข้อมูลการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในรูปแบบ GIS ยังไม่ครอบคลุมทั่วทุกพื้นที่ภายในพื้นที่คุ้มครองฯ จึงมีแผนที่จะดำเนินจัดทำข้อมูล GIS โดยละเอียด และนำเสนอข้อมูลเชิงพื้นที่ในรูปแบบ shapefile
5. การยกระดับพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมบ้านพุเม้ยง์ ให้สามารถเป็นพื้นที่ต้นแบบหรือพื้นที่เรียนรู้ให้กับชุมชนชาติพันธุ์อื่นได้ ด้วยความพร้อมในเรื่องของประสบการณ์การเป็นพื้นที่คุ้มครองฯมาก่อน การมีผลิตภัณฑ์ชุมชนที่สามารถผลักดันเป็นสินค้า OTOP การมีแนวทางการพัฒนาคุณภาพที่หลากหลาย และมีความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายร่วมพัฒนา บ้านพุเม้ยง์จึงถือเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่สามารถยกระดับให้เป็นพื้นที่ต้นแบบพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม ได้
จากแผนงานโครงการที่หน่วยงานร่วมกันเสนอโดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบนฐานทุนทางวัฒนธรรมของชุมชน และคำนึงถึงประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นภายใต้แนวคิดพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรม ที่ต้องมีการส่งเสริม คุ้มครอง และฟื้นฟูวิถีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ให้สามารถดำรงวิถีชีวิตตามอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของตนได้ โดยมีหลักการสำคัญที่ยึดถือเป็นแนวทางการดำเนินงาน 3 เรื่อง ได้แก่ 1. การพัฒนาคุณภาพชีวิต 2. การบริหารจัดการปัญหา และ 3. สร้างความเข้าใจ แนวคิดพื้นที่คุ้มครองทางวัฒนธรรมจึงเป็นแนวคิดร่มใหญ่ที่ต้องสร้างความร่วมและบรูณาการทำงานกับหลายภาคส่วน เพื่อสร้างแนวทางการพัฒนาที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่
การบูรณาการทำงานเนื่องจากภาคีเครือข่ายแต่ละหน่วยงานมีความถนัด มีวัตถุประสงค์ และมีเงื่อนไขในการดำเนินงานที่แตกต่างกัน ซึ่งต้องคำนึงถึงกรอบนโยบายขององค์กร ประกอบกับหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถดำเนินการจัดการปัญหาให้ครอบคลุมได้ทุกมิติ ด้วยเหตุนี้ การบรูณาการกลไกการและเครื่องมือการทำงานของภาคีเครือข่าย จึงเป็นการสร้างแนวร่วมการพัฒนาแบบองคาพยพ ที่จะสร้างความยั่งยืนในมิติการพัฒนาให้กับพื้นที่เป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น
หลักจากฟังการหารือเสร็จ เราเองในฐานะหน่วยงานที่ร่วมพัฒนาก็ทบทวนกระบวนการ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในชุมชน พบว่า 1. ชุมชนมีทุนเครือข่ายที่เข้มแข็ง มีหลายหน่วยงานที่เข้ามาร่วมพัฒนา ทั้งมิติคุณภาพชีวิต มิติวัฒนธรรม มิติทรัพยากรธรรมชาติ และมิติของพื้นที่ 2. ชุมชนมีผลิตภัณฑ์ ที่สามารถนำไปต่อยอดในเรื่องการเป็นผู้ประกอบการทางวัฒนธรรมได้ ซึ่งต้องมีการติดตั้งทักษะเรื่องการขาย การออกแบบผลิตภัณฑ์บนฐานทุนทางวัฒนธรรม และการบริหารจัดการเพิ่มเติม ก็จะสามารถยกระดับให้กลายเป็นวิสาหกิจชุมชนสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับชุมชน 3. ชุมชนมีทุนพื้นที่ทางวัฒนธรรม เช่น พื้นที่ประกอบพิธีกรรม (การไหว้เจดีย์ ต้นไม้ยักษ์ วังปลา) มีศูนย์การเรียนรู้ และลานกิจกรรมทางวัฒนธรรม ที่สามารถต่อยอดได้หลายมิติ และ 4. ชุมชนมีทุนด้านข้อมูล มีหลายหน่วยงานจัดทำข้อมูลให้ ข้อมูลดิบเหล่านั้นชุมชนสามารถนำข้อมูลไปจัดการใช้ประโยชน์ ในเรื่องการสร้างความเข้าใจ การสื่อสารทางวัฒนธรรม และการตลาดได้
ชุมชนบ้านพุเม้ยง์รู้ว่าตัวเองมีทุนด้านใดที่สามารถนำมาใช้เพื่อการพัฒนาคุณชีวิตได้ แต่ต้องมีการเพิ่มเติม 2 สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา ได้แก่ 1. “เครื่องมือ” สำหรับใช้ในการบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน เครื่องมือเปรียบเสมือ “สิ่วไม้ ค้อน หรือกบไสไม้” หากเรามีเครื่องมือเราสามารถสร้างสรรคดัดแปลงสิ่งของได้ ดังนั้น “เครื่องมือก็คือทักษะ” ที่จะทำให้ชุมชนสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมของตนเองมาปรุงแต่งในรูปแบบต่าง ๆ ได้ 2. “คนรุ่นใหม่” ที่เข้ามาเป็นตัวเชื่อมเรื่องในเรื่องเทคโนโลยี และเป็นตัวกลางสานต่อแนวทางการพัฒนา ในประเด็นการขาดคนรุ่นใหม่ในพื้นที่พบเห็นในหลายหลายชุมชน นั้นเป็นเพราะส่วนหนึ่งวิถีเปลี่ยนทั้งในเรื่องการศึกษาและการทำงาน ทำให้คนรุ่นใหม่มีภาวะไกลชุมชนมากขึ้น ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่หน่วยงานพัฒนาจักต้องค้นหากลไกหรือเครื่องมือกลาง ที่สามารถเชื่อมโยงคน 4 รุ่น เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนให้ได้
กล่าวได้ว่า 4 ปีที่ผ่านมา บ้านพุเม้ยง์สามารถฟื้นฟูพื้นที่การทำเกษตรในระบบไร่หมุนเวียนกลับมาได้ มีความภูมิใจในอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมตัวเองมากยิ่งขึ้น และเปิดรับแนวทางการพัฒนาบนฐานทุนทางวัฒนธรรมมากยิ่งขึ้น