เมื่อราวศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช พระพุทธเจ้า หรือสิทธัตถะ โคตมะ ได้เผยแผ่คำสอนในแคว้นมคธ บริเวณลุ่มแม่น้ำคงคาทางตอนเหนือของอินเดีย ซึ่งในขณะนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของ พระเจ้าพิมพิสาร แห่งแคว้นมคธ (Magadha) ซึ่งมีศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองราชคฤห์ (Rajagriha) หรือราชคีร์ (Rajgir) ปัจจุบันอยู่ในรัฐพิหาร (Bihar) พระองค์ถือเป็นกษัตริย์พระองค์แรกที่มีบทบาทสำคัญในการอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา พระองค์ได้ถวายพระเวฬุวันวิหารให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า ต่อมา พุทธศาสนาได้รับการส่งเสริมอย่างสูงสุดในรัชสมัยของ พระเจ้าอโศกมหาราช (ค.ศ. 268–232) แห่งราชวงศ์โมริยะ (Maurya Dynasty, 320–185 ก่อนคริสต์ศักราช) ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปาฏลีบุตร (Pataliputra) หรือปัฏนา (Patna) ในรัฐพิหาร พระองค์ส่งธรรมทูตเผยแผ่พระธรรมคำสอนไปไกลถึงศรีลังกา เอเชียกลาง และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
กำเนิดมหาวิทยาลัยนาลันทา
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 5 ภายใต้ยุคทองของราชวงศ์คุปตะ (Gupta Dynasty, ค.ศ. 320–550) ซึ่งมีศูนย์กลางในแถบภาคเหนือของอินเดีย แม้ราชวงศ์คุปตะจะเป็นราชวงศ์ที่นับถือพระเจ้าฮินดูเป็นหลักแต่ก็ไม่ได้กีดกันศาสนาอื่นและยังเกื้อกูลศาสนาอื่นเหมือนฮินดูอีกด้วย (ดวงธิดา ราเมศวร์, 2553) ทำให้รัชสมัยพระเจ้ากุมารคุปตะ (ค.ศ. 415–455) ได้มีการสนับสนุนให้ก่อตั้ง มหาวิหารนาลันทา (Nalanda Mahavihara) ขึ้นใกล้เมืองราชคฤห์ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองปาฏลีบุตรอันเป็นเมืองหลวงราว 90 กิโลเมตร
นาลันทาไม่ได้เป็นเพียงแค่วัด แต่เป็น “มหาวิทยาลัย” ในความหมายสมัยใหม่ กล่าวคือมีระบบการศึกษาแบบสถาบัน มีหอพักนักเรียน อาคารเรียน ห้องสมุดขนาดใหญ่ และคณาจารย์จำนวนมาก มีจุดมุ่งหมายเพื่อแหล่งศึกษาพระพุทธศาสนานิกายมหายานและรวมไปถึงศาสตร์แขนงอื่น ๆ สำหรับพระภิกษุสงฆ์ ไม่ว่าจะเป็น ตรรกวิทยา ปรัชญา ดาราศาสตร์ แพทยศาสตร์ และวรรณกรรมสันสกฤต หนึ่งในศิษย์เก่าคนสำคัญก็ได้แก่ พระเสวียนจั้ง (Xuanzang) หรือรู้จักกันในอีกชื่อคือพระถังซำจั๋ง ผู้อัญเชิญพระไตรปิฎกสู่จักรวรรดิจีน โดยท่านในวัย 27 พรรษาได้เริ่มต้นออกเดินทางเพื่อไปแสวงบุญที่อินเดีย เมื่อพระเสวียนจั้งมาถึงชมพูทวีปท่านยังได้เข้าศึกษาพระธรรมที่มหาวิหารนาลันทาเป็นเวลา 5 ปี สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของนาลันทาในการเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของโลกยุคโบราณ
(ที่มา: https://www.flickr.com/photos/neoliao/albums/72157625389517210/with/5171768598)
จุดจบของนาลันทาและข้อถกเถียงทางประวัติศาสตร์
ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 พุทธศาสนาในอินเดียเผชิญความเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง เมื่อกลุ่มมุสลิมที่มีเชื้อสายชาวเติร์กจากเอเชียกลางเริ่มรุกรานอินเดียตอนเหนือ นำโดยราชวงศ์กุริด (Ghurid Dynasty, ค.ศ. 786–1215) ซึ่งมีศูนย์กลางอาณาจักรอยู่แถบอัฟกานิสถาน การยึดครองนี้ถือเป็นจุดเริ่มของยุคที่ศาสนาอิสลามจะเข้ามามีอิทธิพลในอนุทวีปอินเดียเป็นอย่างมาก เกิดอาณาจักรใหม่ที่นำโดยราชวงศ์และขุนนางชาวมุสลิม ตัวอย่างเช่น รัฐสุลต่านแห่งเดลี (Delhi Sultanate) หรือรัฐสุลต่านแห่งเบงกอล (Bengal Sultanate) ฉะนั้น การรุกรานในครั้งนี้จึงเปลี่ยนภูมิทัศน์ศาสนาและการเมืองของอนุทวีปอินเดียไปอย่างสิ้นเชิง
ในบริบทเรื่องจุดจบของนาลันทาตามหลักฐานที่เชื่อกันส่วนใหญ่มักจะกล่าวโทษ บัคห์ติยาร์ คาลจี (Bakhtiyar Khalji) แม่ทัพคนสำคัญที่เป็นคนนำทัพบุกยึดดินแดนบริเวณแถวพิหารและอ่าวเบงกอลว่าเป็นผู้สั่งให้บุกปล้นทำลายมหาวิหารนาลันทา มีการเผาห้องสมุดและฆ่าพระภิกษุสงฆ์เป็นจำนวนมากเพื่อกำจัดอิทธิพลของพระพุทธศาสนา (Hiranand, 1986) อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์นี้ยังเป็นข้อวิพากษ์ทางประวัติศาสตร์ เพราะนักวิชาการบางส่วนเสนอว่านาลันทาอาจจะไม่ได้ถูกเผาทำลายโดยแม่ทัพบัคห์ติยาร์ เพราะตามบันทึกประวัติศาสตร์ของมินฮาจ-อี-สิรอจ จุซญานี (Minhaj-i Siraj Juzjani) นักประวัติศาสตร์ชาวเปอร์เซียในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ได้ระบุถึงวีรกรรมการบุกปล้นสะดมวัดและฆ่าพระภิกษุสงฆ์แต่ก็ไม่กล่าวว่าเป็นนาลันทาหรือไม่ (Mukherjee, 2023)
ส่วนเรื่องหลักฐานทางโบราณคดีพบว่านาลันดามีร่องรอยการว่าเคยเกิดไฟไหม้ขนาดใหญ่อย่างน้อยก็หนึ่งครั้ง (Ghosh, 1965: 16) ซึ่งไม่ว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นอย่างไร การรุกรานดังกล่าวรวมถึงไปการล่มสลายของราชวงศ์ปาละ (Pala Dynasty, ค.ศ. 750–1174) ซึ่งเป็นอาณาจักรพุทธศาสนานิกายมหายานที่มีศูนย์กลางอยู่ในรัฐพิหารและอ่าวเบงกอล ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้พุทธศาสนาเริ่มเสื่อมอำนาจในอินเดียตะวันออก นำไปสู่จุดจบของมหาวิหารนาลันทาถ้าไม่ใช่โดยทันทีจากสงครามก็ค่อย ๆ ถูกละทิ้งและถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลาเนื่องจากขาดผู้มีอิทธิพลที่จะเข้ามาอุปถัมภ์
(ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Muhammad_Bakhtiyar_Khalji)
มรดกของนาลันทาและการฟื้นฟูในปัจจุบัน
เวลาผ่านไปหลายร้อยปีเมื่ออนุทวีปอินเดียได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรวรรดิอังกฤษ ศาสตร์วิชาการศึกษาประวัติศาสตร์แบบตะวันตกอย่างโบราณคดีก็ได้เริ่มแพร่เข้าผ่านเจ้าอาณานิคม โดยช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 เซอร์อเล็กซานเดอร์ คันนิงแฮม (Sir Alexander Cunningham) นักโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้ริเริ่มค้นหาและขุดค้นซากโบราณสถานโดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาหลายแหล่งในอินเดียซึ่งนาลันทาก็เป็นหนึ่งในนั้น และก็มีการดำเนินการต่อเนื่องโดย สำนักงานโบราณคดีอินเดีย (ASI) ในตลอดศตวรรษที่ 20 จนในปี ค.ศ. 2016 องค์การยูเนสโกได้ประกาศขึ้นทะเบียน โบราณสถานนาลันทา เป็นมรดกโลก (UNESCO World Heritage Site) ในฐานะแหล่งความรู้ทางพุทธศาสนาและศูนย์กลางการศึกษาโบราณระดับโลก
(ที่มา: https://nalanda.nic.in/en/history/)
ในปี ค.ศ. 2006 ดร. เอ. พี. เจ. อับดุล กลาม (A. P. J. Abdul Kalam) ประธานาธิบดีอินเดีย ได้เสนอไอเดียให้มีการรื้อฟื้นมหาวิทยาลัยนาลันทาต่อสภานิติบัญญัติแห่งรัฐพิหาร ต่อมาในปี ค.ศ. 2010 รัฐบาลอินเดียริเริ่มโครงการฟื้นฟูนาลันทาในรูปแบบมหาวิทยาลัยนานาชาติ ในนาม “Nalanda University” ตั้งอยู่ในรัฐพิหาร เมืองราชคฤห์ ห่างจากโบราณสถานนาลันทาเดิมประมาณ 15 กิโลเมตร โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่าง ๆ ทั่วเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มที่ประชากรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ เช่น จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, กลุ่มประเทศ ASEAN และประเทศในเอเชียใต้ โดยหนึ่งในผู้ผลักดันสำคัญคือ ดร.อมาร์ทยา เซน (Amartya Sen) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ซึ่งเขายังได้รับตำแหน่งเป็นอธิการบดีคนแรกของมหาวิทยาลัยอีกด้วย
Nalanda University เป็นบัณฑิตวิทยาลัย (graduate-level university) ที่เปิดรับนักศึกษาในระดับนานาชาติ อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาลอินเดียและมีรูปแบบการบริหารคล้ายกับมหาวิทยาลัยยุคปัจจุบัน ซึ่งต่างจากนาลันทาเดิมที่เป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ ในปัจจุบันเปิดสอนแค่ หลักสูตรปริญญาโท (Master's programs) และหลักสูตรปริญญาเอก (Doctoral programs) เท่านั้น มหาวิทยาลัยเริ่มเปิดภาคเรียนครั้งแรกในวันที่ 1 กันยายน ค.ศ. 2014 ด้วยนักศึกษา 15 คน ในสาขาประวัติศาสตร์ และสาขานิเวศวิทยาและสิ่งแวดล้อม
(ที่มา: https://nalandauniv.edu.in/about-nalanda/)
โดยสรุป นาลันทา เป็นมากกว่าสถานที่ทางประวัติศาสตร์ — มันคือสัญลักษณ์ของการแลกเปลี่ยนปัญญา ความร่วมมือข้ามพรมแดน และการอยู่ร่วมกันของความรู้ต่างวัฒนธรรม จากจุดสูงสุด สู่ความเงียบงัน และกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งในศตวรรษที่ 21 สะท้อนให้เห็นว่า แม้สถาบันจะถูกทำลายแต่มรดกทางปัญญาของนาลันทา ไม่ได้สูญหายไปกับกาลเวลา หากแต่ดำรงอยู่ในความทรงจำของมนุษยชาติ และสามารถจุดประกายให้เกิดการฟื้นฟูขึ้นใหม่ได้อีกครั้ง — เป็นบทพิสูจน์ว่า พลังของความรู้และการศึกษาเป็นมรดกที่ไม่มีใครทำลายได้อย่างแท้จริง
รายการอ้างอิง:
ดวงธิดา ราเมศวร์. (2553). อินเดียอารยธรรมยิ่งใหญ่แต่โบราณแห่งเอเชียใต้. แพรธรรม : กรุงเทพฯ.
Ghosh, A. (1965). A Guide to Nalanda (5 ed.). New Delhi: The Archaeological Survey of India. https://ia801500.us.archive.org/28/items/in.ernet.dli.2015.103891/2015.103891.Guide-To-Nalanda_text.pdf
Hiranand, S. (1986). Nalanda and its epigraphic material. Sri Satguru : Delhi, India
Mukherjee, S. (2023, February 22). Nalanda: The university that changed the world. BBC Travel.
https://www.bbc.com/travel/article/20230222-nalanda-the-university-that-changed-the-world
Wikipedia contributors. (n.d.). Ghurid campaigns in India. Wikipedia. Retrieved May 2, 2025, from
https://en.wikipedia.org/wiki/Ghurid_campaigns_in_India
Wikipedia contributors. (n.d.). Nalanda Mahavihara. Wikipedia. Retrieved May 2, 2025, from
https://en.wikipedia.org/wiki/Nalanda_mahavihara
Wikipedia contributors. (n.d.). Nalanda University. Wikipedia. Retrieved May 2, 2025, from
https://en.wikipedia.org/wiki/Nalanda_University