ประวัติศาสตร์การผลักดันนโยบายและกฎหมายด้านชาติพันธุ์ในประเทศไทย
ณ ขณะนี้ ประเทศไทยกำลังยืนอยู่บนจุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์ ที่ซึ่งแนวคิดเรื่อง “สังคมพหุวัฒนธรรม” กำลังก้าวข้ามจากการเป็นเพียงถ้อยคำเชิงอุดมคติ สู่การเปลี่ยนแปลงในระดับนโยบายและกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรมเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ประเทศไทย เมื่อร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ 5 ฉบับ ที่ถูกเสนอโดยภาคประชาชน พรรคการเมือง และรัฐบาล สะท้อนถึงความพยายามร่วมกันของหลากหลายภาคส่วนในการเรียกร้องให้มีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของพี่น้องชาติพันธุ์ทั่วประเทศ
ในจำนวนร่างทั้ง 5 ฉบับที่ถูกเสนอนั้น ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งจัดทำโดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) ภายใต้การกำกับของกระทรวงวัฒนธรรม ถือได้ว่าเป็นร่างที่มาจาก “ภาครัฐ” ซึ่งกำลังได้รับการพิจารณาอย่างจริงจังในรัฐสภา นับเป็นอีกก้าวที่มีความสำคัญต่อการสร้างหลักประกันทางกฎหมายสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติทั้ง 5 ฉบับนี้ มีจุดร่วมเดียวกันคือคือให้การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแก่กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย โดยเน้นการส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ที่หลากหลาย ทั้งในด้านชาติพันธุ์ เชื้อชาติ ถิ่นที่อยู่ ศาสนา เพศสภาพ และประเพณีท้องถิ่น เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีในสังคมไทย
หากร่างพระราชบัญญัติเหล่านี้สามารถกลายเป็นกฎหมายชาติพันธุ์ฉบับแรกของประเทศไทยได้จริง นี่จะไม่ใช่เพียงแค่ความสำเร็จเชิงนโยบาย แต่คือสัญลักษณ์แห่งการยอมรับและให้คุณค่าต่อความหลากหลายทางชาติพันธุ์ซึ่งเป็นรากเหง้าของสังคมไทย การผ่านร่างกฎหมายนี้จึงเปรียบเสมือนการก้าวเข้าเส้นชัยอย่างภาคภูมิของการวิ่งมาราธอนอันยาวนานในการเรียกร้องสิทธิและศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งต้องอาศัยทั้งพลัง ความมุ่งมั่น และแรงสนับสนุนจากผู้คนมากมายที่ร่วมเดินทางมาโดยตลอด
ด้วยโอกาสนี้ งานเขียนชิ้นนี้จึงจะพาย้อนรอยประวัติศาสตร์การผลักดันนโยบายและกฎหมายด้านชาติพันธุ์ในประเทศไทยผ่านเหตุการณ์สำคัญ การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในระดับรัฐ ตลอดจนการเคลื่อนไหวของกลุ่มชาติพันธุ์และภาคประชาชน ซึ่งล้วนเป็นรากฐานสำคัญที่นำไปสู่สถานการณ์การผลักดันร่างพระราชบัญญัติในปัจจุบัน
ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples: UNDRIP)
ประตูบานแรกถูกเปิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2550 เมื่อประเทศไทยและอีก 143 ประเทศทั่วโลก ได้ลงนามสนับสนุนปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง (United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples: UNDRIP) ซึ่งถือได้ว่าเป็นวันที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก ปฏิญญาฯ ฉบับนี้ทำหน้าที่เป็นกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศอย่างหนึ่ง ที่ให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งเป็นกลุ่มที่ประสบปัญหาและได้รับผลกระทบมายาวนาน ทั้งการสูญเสียที่ดิน ทรัพยากร และการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน บางพื้นที่ถึงขั้นต้องสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อ จากการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปกป้องผืนดิน ผืนป่า และวิถีชีวิตของตนเอง[1]
ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองฉบับนี้เป็นพันธะสัญญาให้แก่รัฐไทยทำหน้าที่ในการรับรองสิทธิ เคารพ และคุ้มครองวิถีชีวิตของชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อยืนยันว่าชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิเท่าเทียมกับบุคคลอื่น แม้ว่าจะมีวิถีชีวิตที่แตกต่าง แต่ก็พึงได้รับความเคารพเช่นกัน ภายในปฏิญญาฯ ฉบับนี้บรรจุหลักการดำเนินงานไว้ทั้งหมด 46 มาตรา ซึ่งครอบคลุมหลากหลายประเด็นสิทธิสำคัญ ได้แก่
1. สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (civil and political rights)
ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ระบุไว้ชัดเจนใน มาตรา 6 ว่า
“ปัจเจกบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมืองทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับสัญชาติ”[2]
ซึ่งสะท้อนถึงการรับรองสิทธิความเป็นพลเมืองอย่างเท่าเทียมกับประชาชนอื่นในรัฐนั้น ๆ ประเด็นนี้เชื่อมโยงกับหลักการพื้นฐานในมาตรา 1 ที่ยืนยันว่า ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิในความเท่าเทียมกับมนุษย์อื่น ๆ และในมาตรา 3 ซึ่งรับรองสิทธิในการกำหนดตนเอง (self-determination) เพื่อให้ชนเผ่าพื้นเมืองสามารถกำหนดวิถีชีวิต ทิศทางการพัฒนา และอนาคตของตนเองได้อย่างมีอิสระ นอกจากนี้ มาตรา 4 ยังให้การรับรองสิทธิในการใช้กลไกและระบบการปกครองของตนเอง และเน้นย้ำถึงสิทธิในฐานะกลุ่ม (collective rights) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการส่งเสริมศักยภาพของชนเผ่าพื้นเมืองในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
2. สิทธิทางวัฒนธรรม (cultural rights)
หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลกต้องเผชิญ คือ ปัญหาการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (cultural assimilation) ซึ่งมักเกิดจากนโยบายของรัฐที่ส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองต้องละทิ้งวิถีชีวิตดั้งเดิม ภาษา วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของตน เพื่อหลอมรวมเข้าสู่วัฒนธรรมของชนหมู่มาก ดังนั้นเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) จึงระบุไว้ชัดเจนใน มาตรา 8 ว่า
“ประชาชนและปัจเจกบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีสิทธิที่ไม่ต้องถูก บังคับให้ผสมกลืนกลายทางวัฒนธรรมหรือทําลายวัฒนธรรมของตน”[3]
นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้รัฐจัดตั้งกลไกที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันและแก้ไขการกระทำใด ๆ ที่มีเจตนาหรือส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองถูกพรากจากความเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีลักษณะเฉพาะ หรือพรากจากคุณค่าทางวัฒนธรรมหรืออัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ของตน ถูกกลืนกลายหรือรวมกลุ่มอย่างถูกบังคับ และตกเป็นเป้าหมายของการโฆษณาชวนเชื่อที่ยุยงให้เกิดการเลือกปฏิบัติทางชาติพันธุ์หรือเชื้อชาติ นอกจากนี้ ในด้านการปฏิบัติทางวัฒนธรรม UNDRIP ยังให้การรับรองสิทธิในมิติต่าง ๆ ดังนี้
- มาตรา 9: รับรองสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการมีสถานะเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนหรือประชาชาติของตน ตามจารีตประเพณีและโครงสร้างของชุมชนนั้น ๆ
- มาตรา 11: สิทธิในการฟื้นฟู ปฏิบัติ และรักษาขนบธรรมเนียม จารีตประเพณี และการแสดงออกทางวัฒนธรรม ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เช่น แหล่งโบราณคดีและประวัติศาสตร์ พิธีกรรม ทัศนศิลป์ ศิลปะการแสดง และวรรณกรรม
- มาตรา 14 และ 15: สิทธิในการควบคุมระบบการศึกษา รวมถึงการจัดการศึกษาโดยใช้ภาษาและเนื้อหาทางวัฒนธรรมของตน
- มาตรา 31: สิทธิในการธำรง ควบคุม พัฒนา และปกป้องมรดกทางวัฒนธรรม องค์ความรู้ดั้งเดิม และการแสดงออกทางวัฒนธรรม
- มาตรา 34: สิทธิในการส่งเสริมและรักษาโครงสร้างทางสังคม จารีตประเพณี ระบบความเชื่อทางจิตวิญญาณ และระบบกฎหมายท้องถิ่นของตน
3. สิทธิในที่ดิน เขตแดนและทรัพยากร (rights to lands, territories and resources)
อีกหนึ่งประเด็นที่ปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ให้ความสำคัญอย่างยิ่งคือสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการเข้าถึงและจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของพวกเขาอย่างแนบแน่น ซึ่งในมาตรา 26 ระบุว่า
“ชนเผ่าพื้นเมือง มีสิทธิเป็นเจ้าของ ใช้ พัฒนา และควบคุมที่ดิน เขตแดน และทรัพยากรที่พวกเขาครอบครองอยู่ด้วยเหตุผลของการเป็น เจ้าของตามประเพณี หรือการประกอบอาชีพหรือการใช้ตามประเพณีรูปแบบอื่นๆ รวมทั้งที่ชนเผ่าพื้นเมืองได้รับมาโดยวิธีอื่น”[4]
สาระสำคัญของสิทธิดังกล่าวคือการคืนสิทธิ์และอำนาจในการจัดการทรัพยากรให้แก่ชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งมีวิถีชีวิตที่พึ่งพิงที่ดิน ดินแดน ป่าไม้ แหล่งน้ำ และทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่มาอย่างยาวนาน โดยทรัพยากรเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นฐานเศรษฐกิจในการดำรงชีพ หากยังเป็นหัวใจของอัตลักษณ์ วิถีชีวิต วัฒนธรรม และจิตวิญญาณของพวกเขา ส่วนในด้านการเยียวยา มาตรา 28 ของ UNDRIP ได้เน้นถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการได้รับการชดเชยที่เป็นธรรม ถูกต้อง และเท่าเทียม สำหรับที่ดิน เขตแดน หรือทรัพยากรที่พวกเขาเคยเป็นเจ้าของหรือใช้ประโยชน์ตามประเพณี แต่ถูกยึด ครอบครอง ใช้ หรือทำลายไปโดยไม่ได้รับการแจ้งล่วงหน้าหรือไม่ได้ให้ความยินยอมอย่างเสรีและมีข้อมูลครบถ้วน (Free, Prior and Informed Consent: FPIC) ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 32 ที่เน้นย้ำสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการกำหนดลำดับความสำคัญและยุทธศาสตร์ของตนเองสำหรับการพัฒนาและการใช้ที่ดิน เขตแดน และทรัพยากร โดยต้องได้รับการเคารพจากรัฐ และชนเผ่าพื้นเมืองต้องมีส่วนร่วมอย่างเสรีในกระบวนการตัดสินใจ
แม้ประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามรับรองปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) อย่างเป็นทางการ แต่ในทางปฏิบัติกลับพบว่า ยังไม่มีความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมในการพัฒนากลไกหรือมาตรการของรัฐที่มุ่งเน้นการส่งเสริม คุ้มครอง หรือรับรองสิทธิตามหลักการของปฏิญญาฯ ทำให้ประเด็นต่างๆ ยังคงอยู่ในภาวะที่คลุมเครือหรือถูกละเลยในเชิงนโยบาย ส่งผลให้ชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทยยังคงเผชิญกับปัญหาการเลือกปฏิบัติ การไม่มีสถานะทางกฎหมาย การถูกจำกัดสิทธิในที่ดินทำกิน รวมถึงการถูกกลืนกลายทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง
พ.ศ. 2550 ครั้งแรกของการรวมตัวของชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย
หลังจากที่รัฐบาลไทยร่วมลงนามสนับสนุนปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ในปีเดียวกันนั้นเองที่พี่น้องชนเผ่าพื้นเมือง 17 กลุ่มทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทยเริ่มเคลื่อนไหว และรวมกลุ่มกันเป็นครั้งแรก ในนาม “เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย (คชท.)” อีกทั้งยังได้จัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมและปกป้องสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง เช่น การจัดเวทีสนทนา สัมมนาวิชาการ งานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ซึ่งได้จัดมาอย่างต่อเนื่องทุกปี
พ.ศ. 2553 การจัดตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
จนกระทั่งในงานมหกรรมชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ประจำปี พ.ศ. 2553 เครือข่ายชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยได้ประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันในการจัดตั้ง “สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย” โดยมีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อน ผลักดัน และสร้างความชัดเจนด้านนโยบายและกฎหมาย ตลอดจนเป็นกลไกหลักในการสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนายั่งยืนที่ตั้งอยู่บนฐานวัฒนธรรม และปกป้องคุ้มครองสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองโดยอาศัยความร่วมมือที่ดีจากหน่วยงานรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน องค์การสหประชาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง
หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของสภาชนเผ่าแห่งประเทศไทยคือ การทำให้หน่วยงานรัฐมีความเข้าใจในประเด็นชนเผ่าพื้นเมืองมากขึ้นและปฏิบัติหน้าที่ในการให้การสนับสนุน พัฒนาศักยภาพ และสร้างความเข้มแข็งให้กับองค์กรที่ทำงานด้านชาติพันธุ์ เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์กรมหาชน) สำนักกิจการชาติพันธุ์ (กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ) ในกำกับของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม และศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร ในกำกับของกระทรวงวัฒนธรรม เป็นต้น เพื่อให้องค์กรเหล่านี้ สามารถนำประสบการณ์ไปแบ่งปันหรือขยายผลกับหน่วยงานอื่นๆ ตลอดจนสามารถยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับชนเผ่าพื้นเมืองไปสู่การพัฒนาความร่วมมือในระดับชาติได้[5]
หลังจากมีการเคลื่อนไหวจากภาคประชาชนเป็นครั้งแรกแล้ว รัฐบาลไทยเองก็เริ่มให้ความสนใจในประเด็นเรื่องการคุ้มครองกลุ่มชาติพันธุ์และชนพื้นเมืองมากขึ้น
มติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล วันที่ 2 มิ.ย. 2553[6]
ความพยายามของภาครัฐในการออกมาตรการและนโยบายที่ตอบรับกับปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองเริ่มปรากฏเป็นรูปธรรมครั้งแรกเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553 เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการ “แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล” ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของการออกแนวปฏิบัติจากรัฐที่มุ่งคุ้มครองสิทธิ์และเคารพวิถีชีวิตดั้งเดิมของพี่น้องชาติพันธุ์
รายงานของกระทรวงวัฒนธรรมในขณะนั้นระบุว่า ชุมชนชาวเลกระจายตัวอยู่ใน 5 จังหวัดชายฝั่งทะเลภาคใต้ ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ และสตูล รวมจำนวนประชากรราว 10,000 คน โดยส่วนใหญ่อาศัยอยู่ตามเกาะหรือพื้นที่ชายฝั่งทะเล ทำให้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่นสึนามิปี 2547 ในระดับที่แตกต่างกันไปตามลักษณะของพื้นที่และความรุนแรงของคลื่น
เหตุการณ์สึนามิกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้สังคมไทยเริ่มตระหนักถึงการมีอยู่ของชุมชนชาวเลมากขึ้น ทั้งจากการนำเสนอของสื่อมวลชน รวมถึงการเข้าไปช่วยเหลือของหน่วยงานรัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน และมูลนิธิต่าง ๆ ที่เข้าไปร่วมทำงานกับชาวเลอย่างใกล้ชิด ปัจจัยเหล่านี้ช่วยส่งเสริมให้ภาพลักษณ์ของชุมชนชาวเลในสายตาสาธารณชนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม แม้จะได้รับการยอมรับเพิ่มขึ้นในเชิงภาพลักษณ์ ชาวเลยังคงเผชิญกับปัญหาเรื้อรังที่สะสมมาเป็นเวลานาน และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกิน นอกจากนี้ยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การไม่มีหลักประกันทางกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของพวกเขาอย่างชัดเจน จึงสามารถกล่าวได้ว่า ชาวเลเป็นหนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์ที่เปราะบาง ซึ่งกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อการสูญเสียวัฒนธรรมดั้งเดิม วิถีชีวิตเฉพาะถิ่น และอัตลักษณ์ทางสังคม
มติคณะรัฐมนตรีว่าด้วยเรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง วันที่ 3 ส.ค. 2553[7]
เช่นเดียวกับกรณีของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงในพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งกระจายตัวอยู่ตั้งแต่จังหวัดแม่ฮ่องสอนจนถึงราชบุรี ได้เผชิญกับปัญหามากมาย โดยเฉพาะความไม่เข้าใจจากภาครัฐและสาธารณะต่อวิถีชีวิตที่ตั้งอยู่บนรากฐานของการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน เช่น ระบบไร่หมุนเวียน การผลิตเพื่อยังชีพ การให้คุณค่าต่อผืนป่าในฐานะทรัพยากรของส่วนรวม และการมองสิทธิในที่ดินและทรัพยากรในรูปแบบที่ไม่เน้นกรรมสิทธิ์แต่เน้นความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ อย่างไรก็ตาม แนวนโยบายและการพัฒนาของรัฐยังคงให้ความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจทุนนิยมที่เน้นการเกษตรสมัยใหม่ การลงทุนขนาดใหญ่ และการส่งเสริมพืชเศรษฐกิจเชิงเดี่ยว ซึ่งไม่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวกะเหรี่ยง อีกทั้งยังขาดการให้คุณค่ากับภาษาและวัฒนธรรมของชาติพันธุ์ในระบบการศึกษาท้องถิ่น
แม้จะมีแรงกดดันและการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้าง พี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางส่วนจำต้องปรับตัวเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจและสังคมแบบกระแสหลัก แต่ก็ยังมีอีกจำนวนไม่น้อยที่ยืนยันในการดำรงอยู่แบบ “อยู่อย่างกะเหรี่ยง” เพราะเห็นว่าวิถีชีวิตดั้งเดิมมีคุณค่าทั้งต่อจิตใจ ความเป็นอยู่ และการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2553 คณะรัฐมนตรีจึงมีมติเห็นชอบ “แนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง” ซึ่งถือเป็นมาตราการที่ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันระหว่างรัฐกับกลุ่มชาติพันธุ์อย่างสันติ บนพื้นฐานของความเข้าใจในวัฒนธรรม วิถีชีวิต และภูมิปัญญาท้องถิ่น อีกทั้งเป็นก้าวสำคัญในการปรับเปลี่ยนท่าทีของรัฐไทยจากการควบคุมกลุ่มชาติพันธุ์ไปสู่การเคารพและฟื้นฟูสิทธิในการดำรงชีวิตตามวิถีของตนเอง
จากมติครม.ทั้งสองฉบับ จะเห็นว่ามีสาระสำคัญร่วมกันคือการแก้ไขประเด็นปัญหาสำคัญที่พี่น้องชาวเลและกะเหรี่ยงต้องเผชิญ ได้แก่
- แก้ไขปัญหาอคติทางชาติพันธุ์
- แก้ไขปัญหาการจัดการทรัพยากร และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ในที่ดินบนพื้นฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม
- แก้ไขปัญหาสถานะบุคคล
- แก้ไขปัญหาเรื่องการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานและบริการของรัฐอย่างทั่วถึง
- ส่งเสริมและฟื้นฟูอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์
กล่าวโดยสรุปคือ มติคณะรัฐมนตรีทั้งสองฉบับ มีความเหมือนกันในด้านแนวคิดและเจตนารมณ์หลักของรัฐที่ต้องการ “ยอมรับ” และ “คุ้มครอง” ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งสะท้อนถึงพัฒนาการด้านนโยบายชาติพันธุ์ของไทยที่เริ่มขยับจากการ “กลืนกลาย” ไปสู่การ “อยู่ร่วมกันอย่างเคารพและเท่าเทียม” ส่งผลให้สังคมไทยเริ่มให้ความสนใจและตื่นตัวในเรื่องการคุ้มครองสิทธิของพี่น้องชาติพันธุ์มากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติ มติ ครม. ทั้งสองฉบับยังเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ เนื่องจากสถานะทางกฎหมายของมติ ครม. เป็นเพียงแนวนโยบายที่หน่วยงานรัฐสามารถเลือกปฏิบัติหรือไม่ปฏิบัติก็ได้ ทำให้ยังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจนและครอบคลุมอย่างที่ควรจะเป็น
พ.ศ. 2557 เริ่มต้นกระบวนการจัดทำ (ร่าง) พระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย
ภาคประชาสังคมได้ยกระดับการขับเคลื่อกฎหมายชาติพันธุ์อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นที่การยกระดับมติ ครม. ปี 2553 ให้กลายเป็นกฎหมายที่มีผลบังคับใช้อย่างจริงจัง หมุดหมายสำคัญคือในช่วงปี 2557 ที่หลายกลุ่มภาคประชาสังคมเริ่มกระบวนการจัดทำ ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ตัวอย่างเช่น
- (ร่าง) พระราชบัญญัติสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย ได้รับการผลักดันโดยสภาชนเผ่าพื้นเมือง ผ่านกระบวนการประชาพิจารณ์และรับฟังความเห็นจากชนเผ่าพื้นเมืองในชุมชนต่าง ๆ มากกว่า 30 กลุ่มชาติพันธุ์
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือ การผลักดันให้มีการจัดตั้งสภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทยที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มาจากชนเผ่าพื้นเมือง เพื่อให้เป็นกลไกในการส่งเสริม ประสานงาน และแก้ไขปัญหาของตนเองได้อย่างทั่วถึงทุกด้านและสอดคล้องไปกับวิถีวัฒนธรรมที่หลากหลาย
- (ร่าง) พระราชบัญญัติพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเครือข่ายกลุ่มชาติพันธุ์ชาวเลและชาวกะเหรี่ยง ได้เสนอแนวคิดดังกล่าวให้กับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ ในปี 2557
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ คือ การสนับสนุนให้เกิดพื้นที่ที่กลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการคุ้มครองและยอมรับสิทธิทางวัฒนธรรมตามกฎหมาย เพื่อให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถใช้สิทธิในพื้นที่ดังกล่าวได้ตามวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของตนเอง
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตราที่ 70
หนึ่งในการพัฒนาเชิงโครงสร้างในระดับนโยบายและกฎหมายด้านชาติพันธุ์ที่สำคัญปรากฏขึ้นเป็นประจักษ์ใน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 70
“รัฐพึงส่งเสริมและให้ความคุ้มครองชาวไทยกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ให้มีสิทธิดํารงชีวิต ในสังคมตามวัฒนธรรม ประเพณี และวิถีชีวิตดั้งเดิมตามความสมัครใจได้อย่างสงบสุข ไม่ถูกรบกวน ทั้งนี้ เท่าที่ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือเป็นอันตราย ต่อความมั่นคงของรัฐ หรือสุขภาพอนามัย”[9]
รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือว่าเป็นหลักประกันสำคัญและเป็นการเปิดประตูสู่การสร้างสังคมที่ยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์อย่างมีนัยสำคัญ เป็นรากฐานสำหรับนโยบายสาธารณะที่ส่งเสริมสิทธิ วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในประเทศไทย
แผนปฏิรูปประเทศด้านสังคม พ.ศ. 2561
ในปี 2561 รัฐบาล คสช. ได้ประกาศแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งประกอบด้วยแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ หนึ่งในนั้นคือแผนปฏิรูปด้านสังคม ซึ่งระบุว่า ให้มีการจัดทำร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์รวมอยู่ด้วย โดยรัฐบาลได้มอบหมายให้ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน) เป็นหน่วยงานหลักในการศึกษาข้อมูล ภายใต้การกำกับของคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคมและเชิญผู้เชี่ยวชาญในการยกร่างกฎหมายฉบับนี้ โดยมีกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน พ.ศ. 2564 ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการจัดทำร่างกฎหมายชาติพันธุ์อย่างจริงจังจากภาครัฐบาล[10]
แม้ประเทศไทยจะมีรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 และได้ประกาศใช้แผนปฏิรูปประเทศด้านสังคมในปี 2561 ซึ่งควรจะเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งเสริมความเท่าเทียมและการเคารพสิทธิมนุษยชนในระดับโครงสร้างอย่างจริงจัง แต่ในทางปฏิบัติกลับปรากฏว่าปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงดำรงอยู่ และทวีความรุนแรงขึ้นอย่างน่ากังวล การปฏิบัติต่อกลุ่มชาติพันธุ์ในหลายพื้นที่ยังสะท้อนถึงความเหลื่อมล้ำ การเลือกปฏิบัติ และการละเมิดสิทธิอย่างรุนแรง ซึ่งสวนทางอย่างสิ้นเชิงกับหลักการและเจตนารมณ์ที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ เอกสารที่ควรจะเป็นหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพกลับไม่สามารถยับยั้งการละเมิดเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง ทำให้เกิดคำถามต่อความจริงใจของรัฐในการปฏิรูปและเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม
แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย(พ.ศ. 2566 - 2570)
อีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญของการปรับเปลี่ยนโครงสร้างรัฐเพื่อส่งเสริมให้เกิดการคุ้มครองสิทธิ์และเคารพวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งตอบรับกับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยปี 2560 มาตรา 70 คือเมื่อสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้จัดทำแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย (พ.ศ. 2566 - 2570) โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นแนวทางการเสริมสร้างการอยู่ร่วมกันของคนทุกกลุ่มทั่วประเทศ สิ่งสำคัญของแผนฉบับนี้คือการเน้นย้ำให้เห็นว่าสังคมไทยประกอบด้วยประชากรกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีความแตกต่างหลากหลาย มีวิถีการดำรงชีวิต วัฒนธรรม ภูมิปัญญาที่สอดคล้องสัมพันธ์กับระบบนิเวศและภูมิประเทศที่อยู่อาศัย[11]
แผนดังกล่าวมีแนวทางหลักในการขับเคลื่อนที่สำคัญ ประกอบไปด้วย
- เสริมสร้างให้เกิดการอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างสันติสุขบนการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน
- เสริมสร้างการเรียนรู้และความเข้าใจวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่ม
- ส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านอาชีพให้กับทุกกลุ่มรวมทั้งให้ความสำคัญกับบทบาทสตรีในการมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาในหมู่บ้านและชุมชนที่อยู่อาศัย
- เน้นให้มีการบริหารจัดการที่ตอบสนองต่อบริบททางสังคมที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมได้อย่างเข้าใจ ตลอดจนเสริมสร้างกลไกในการบูรณาการงานของภาครัฐในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับนโยบาย ระดับอำนวยการ และระดับการปฏิบัติ ทั้งส่วนกลางและในพื้นที่
การปรากฏขึ้นของแผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรม พ.ศ. 2566 – 2570 ไม่เพียงแต่เป็นการยืนยันถึงท่าทีของรัฐที่เปิดรับและตระหนักถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของประชาชนในประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณถึงการปรับเปลี่ยนมุมมองเชิงนโยบาย จากการมองกลุ่มชาติพันธุ์ในฐานะผู้ด้อยโอกาสหรือปัญหา ไปสู่การมองว่ากลุ่มเหล่านี้เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพ และควรได้รับการส่งเสริมให้สามารถมีส่วนร่วมในการพัฒนาสังคมอย่างเท่าเทียม[1]
ยิ่งไปกว่านั้น การดำเนินงานตามแผนนี้ยังเป็นการตอบสนองต่อหลักสิทธิมนุษยชนและพันธกรณีระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีอย่าง UNDRIP รวมทั้งเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มชาติพันธุ์สามารถแสดงออก แสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางนโยบายที่ส่งผลต่อวิถีชีวิตของตนเอง
การเสนอร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ ในช่วงปี 2563 - 2566
ในช่วงระยะเวลาระหว่างปี 2563 ถึง 2566 สังคมไทยได้เห็นกระแสการตื่นตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการรักษาและคุ้มครองวิถีชีวิต วัฒนธรรม และอัตลักษณ์เฉพาะของแต่ละกลุ่ม การเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคม นักวิชาการ กลุ่มชนเผ่าพื้นเมือง และพรรคการเมืองหลายพรรคต่างผลักดันให้เกิดกฎหมายที่เอื้อต่อการดำรงอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีของกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วประเทศ ผลของแรงผลักดันดังกล่าว นำไปสู่การจัดทำและเสนอร่างพระราชบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนถึง 5 ฉบับ ดังนี้
- ร่าง พ.ร.บ.สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เสนอโดย สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เสนอเมื่อวันที่ 15 ก.พ. 2564
- ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดยพรรคก้าวไกล เสนอเมื่อวันที่ 9 มิ.ย. 2564
- ร่าง พ.ร.บ.ส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยคณะกรรมาธิการกิจการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ สภาผู้แทนราษฎร เสนอเมื่อ 16 มิ.ย. 2564
- ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง โดย ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือ P-move เสนอเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2564
- ร่าง พ.ร.บ. คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร(องค์การมหาชน) ถือได้ว่าเป็นร่างที่มาจากภาครัฐ เสนอครั้งแรกเมื่อ 23 พ.ค. 2565
แม้ว่าร่าง พ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับจะมีความแตกต่างกันในเชิงรายละเอียด เนื้อหา และกลไก แต่ทุกฉบับล้วนยึดถือหลักการเดียวกัน คือการมุ่งส่งเสริมสิทธิทางวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยเน้นการคุ้มครองวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ตามหลักสิทธิทางวัฒนธรรม และใช้กระบวนทัศน์ใหม่ในการแก้ไขปัญหากลุ่มชาติพันธุ์ จากเดิมที่เน้นการให้ความช่วยเหลือแบบ “สงเคราะห์” ไปสู่แนวทางการฟื้นฟูวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์เพื่อ “ส่งเสริม” ศักยภาพให้กลุ่มชาติพันธุ์มีความสามารถพึ่งพาตนเองได้บนฐานภูมิปัญญาและวัฒนธรรม อันเป็นแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน[13]
สถานการณ์ความคืบหน้าของกระบวนการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์
ภายหลังการเสนอร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ 5 ฉบับ กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมายเหล่านี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นได้สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างฐานทางกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิ ความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และการดำรงอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย โดยสามารถสรุปเหตุการณ์สำคัญตามลำดับได้ดังนี้
- 28 กุมภาพันธ์ 2567 — ชั้นสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 1
สภาผู้แทนราษฎรมีมติรับหลักการร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ จำนวน 5 ฉบับ ซึ่งเสนอโดยศูนย์มานุษยวิทยสิรินธร พรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทย สภาชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย และขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (P-move) จากนั้นได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนคณะรัฐมนตรี พรรคการเมือง ภาคประชาชน และตัวแทนกลุ่มชาติพันธุ์ รวมทั้งสิ้นจํานวน 42 คน และเปิดประชุมประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 14 มี.ค. 2567
- 25 กันยายน 2567 — ชั้นสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 2
ครั้งที่ 1: เมื่อวันที่ 25 ก.ย. 2567 สภาผู้แทนราษฎร มีการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ที่คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาเสร็จแล้ว แต่สภาฯมีมติให้คณะกรรมาธิการนำร่างกลับไปทบทวนแก้ไขในมาตรา 3 ที่มีการนิยามคำว่า “กลุ่มชาติพันธุ์” และ “ชนเผ่าพื้นเมือง” นำไปสู่การแก้ไขและถอดคำดังกล่าวออกจากร่างกฎหมายฉบับนี้
ครั้งที่ 2: วันที่ 8 มกราคม 2568 ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ได้ถูกนำกลับเข้ามาพิจารณาในวาระที่ 2 อีกครั้ง เมื่อพิจารณาไปถึงหมวด 5 พื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ สมาชิกผู้แทนราษฎรหลายคนจากพรรคเพื่อไทยทักท้วงว่า มาตรา 27 มีโอกาสขัดต่อรัฐธรรมนูญ และไม่เหมาะสมเนื่องจากมีประโยคที่ยกเว้นไม่ต้องนำกฎหมายมาใช้ในพื้นที่คุ้มครอง จึงขอหารือให้เลื่อนการประชุมไปเป็นวันที่ 15 มกราคม แต่เมื่อถึงกำหนดวันดังกล่าว สมาชิกผู้แทนราษฎรจากพรรคเพื่อไทยกลับขอให้ที่ประชุมเลื่อนการพิจารณาออกไปอีกครั้ง เนื่องจากยังเห็นว่าคณะกรรมาธิการยังไม่ได้มีการแก้ไขในมาตราดังกล่าว ส่งผลให้การพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ ต้องถูกเลื่อนออกไปอีกครั้งถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568
ครั้งที่ 3: วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568 พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ได้ถูกนำกลับมาพิจารณาต่อในวาระที่ 2 และเข้าสู่วาระที่ 3 หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเลื่อนการพิจารณาถึงสองครั้ง ถือเป็นการชี้ชะตาประเด็นข้อถกเถียงกรณีมาตรา 27 ว่าด้วยการจัดตั้งพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกวิจารณ์อย่างหนัก และบทสรุปคือ สภาผู้แทนราษฎรมีมติไม่เห็นด้วยกับร่างมาตรา 27 ของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ที่เสนอให้ยกเว้นการบังคับใช้กฎหมายบางฉบับในพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ และลงมติเห็นชอบกับร่างมาตรา 27 ของกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่ตัดข้อความที่ระบุว่า “ไม่ต้องนำกฎหมายที่เกี่ยวข้องมาใช้บังคับแก่พื้นที่ดังกล่าว” ออกไป และแทนที่ด้วยแนวทางที่เน้นความร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ การจัดทำแผนแม่บท และการรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- 5 กุมภาพันธ์ 2568 — ชั้นสภาผู้แทนราษฎร วาระที่ 3
ในวันเดียวกันนั้นเอง ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ในวาระที่ 3 ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการผ่านกฎหมายในฝ่ายนิติบัญญัติ โดยที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมาก เห็นชอบผ่านร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ด้วยคะแนนเสียง 312 ต่อ 84 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 4 เสียง จากจำนวนสมาชิกผู้ลงคะแนนทั้งหมด 402 คน และส่งมอบร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวมายังวุฒิสภาเพื่อพิจารณาต่อไป
- วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2568 — ชั้นวุฒิสภา วาระที่ 1
ร่างกฎหมายดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมวุฒิสภาและเห็นชอบในหลักการวาระแรก ด้วยมติเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วย 160 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง และเดินหน้าตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าว 27 คน ที่ประกอบด้วยตัวแทนภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงภาคประชาชน โดย กมธ.ชุดนี้ มีกำหนดประชุมนัดแรก วันพุธที่ 19 กุมภาพันธ์ 2568
- วันที่ 8 เมษายน 2568 — ชั้นวุฒิสภา วาระที่ 2-3
เมื่อวันที่ 8 เมษายน 2568 ที่ประชุมวุฒิสภาได้พิจารณาและลงมติเห็นชอบผ่านร่างพระราชบัญญัติส่งเสริมและคุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ในวาระที่ 2 โดยมีการแก้ไขในมาตรา 3 ก่อนเข้าสู่การลงมติในวาระที่ 3 ซึ่งผลการลงมติปรากฏว่า วุฒิสภาส่วนใหญ่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้ โดยมีผู้ลงคะแนนเห็นชอบ 122 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 8 เสียง และไม่ลงคะแนน 2 เสียง จากจำนวนผู้ลงมติทั้งหมด 133 คน เนื่องจากร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เป็นร่างที่มีการแก้ไขเพิ่มเติมจากสภาผู้แทนราษฎร ขั้นตอนต่อไปจึงต้องส่งกลับไปให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาอีกครั้ง หาก ส.ส. มีมติเห็นชอบ ก็จะสามารถนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อตราเป็นกฎหมายได้ แต่หาก ส.ส. ไม่เห็นชอบ จะต้องมีการตั้งคณะกรรมาธิการร่วม ซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากทั้งสองสภาในสัดส่วนเท่ากัน เพื่อร่วมกันพิจารณาและหาข้อสรุปในร่างกฎหมายนี้ต่อไป
แม้ว่าความคืบหน้าเหล่านี้จะเป็นสัญญาณแห่งความสำเร็จในการสร้างหลักประกันทางกฎหมายสำหรับกลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย แต่เส้นทางของการพิจารณาโดยทั้งชั้นสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะได้เกิดการปรับแก้ร่างหลายครั้ง ส่งผลให้สาระสำคัญบางประการของร่างกฎหมายตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ บางส่วนถูกแก้ไข และบางส่วนถูกถอดออกจากร่าง ดังที่ปรากฏในกรณีของการถกเถียงในมาตรา 3 ที่มีการนิยามคำว่า “ชนเผ่าพื้นเมือง” และมาตรา 27 เกี่ยวกับการประกาศพื้นที่คุ้มครองวิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่ฝังรากลึกในสังคมไทยเกี่ยวกับความไม่เข้าใจเรื่องความหลากหลายทางชาติพันธุ์ และด้วยความไม่เข้าใจนี้เอง ได้นำไปสู่ปัญหาเรื่องอคติทางชาติพันธุ์ การเลือกปฏิบัติจากหน่วยงานรัฐต่อกลุ่มชาติพันธุ์ และการละเมิดสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ในหลายระดับ ซึ่งล้วนเป็นผลมาจากวาทกรรมชาตินิยมที่ถูกผลิตซ้ำผ่านการสร้าง“ความเป็นอื่น” ให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ ดังนั้นหากพิจารณากรณีการโต้แย้งมาตรา 3 และมาตรา 27 จึงไม่ได้เป็นเพียงข้อถกเถียงทางกฎหมาย แต่คือภาพสะท้อนของโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมและการไม่ยอมรับความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่เป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย
[1] ปฏฺิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง
United Nations Declaration on the Rights of Indigenous Peoples สืบค้นจากhttps://iwgia.org/images/publications/new-publications/UN_Declaration_on_the_RIghts_of_Indigenous_Peoples_Thai.pdf
[2] เรื่องเดียวกัน, 15
[3] เรื่องเดียวกัน, 15
[4] เรื่องเดียวกัน, 23
[5] ศักดิ์ดา แสนมี่, (2555), เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง “การศึกษา อัตลักษณ์ และสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย” สืบค้นจาก https://imnvoices.com/wp-content/uploads/2018/11/เอกสารแนบ-1-แนะนำสภา-CIPT.pdf
[6] สรุปข่าวการประชุมคณะรัฐมนตรี 2 มิถุนายน 2553 สืบค้นจาก https://www.eppo.go.th/index.php/th/petroleum/item/download/2960_f66889dc81cf20039d306e52c2496e63
[7] มติครม. 3 ส.ค. 53 เรื่องแนวนโยบายในการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยง สืบค้นจาก https://web2012.hrdi.or.th/public/files/poly43.pdf
[8] อภินันท์ ธรรมเสนา, (14 ธ.ค. 2566), โอกาสและทิศทาง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์ ใต้อุ้งมือรัฐบาลเศรษฐาสืบค้นจาก https://policywatch.thaipbs.or.th/article/legal-2
[9] รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560. สืบค้นจาก https://www.senate.go.th/assets/portals/13/files/รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร%20พุทธศักราช%20๒๕๖๐.pdf
[10]ค้านถอด ร่าง พ.ร.บ. ชาติพันธุ์ฯ พ้นแผนปฏิรูปประเทศ สืบค้นจาก https://imnvoices.com/?p=1498
[11] แผนปฏิบัติการด้านการส่งเสริมการอยู่ร่วมกันภายใต้สังคมพหุวัฒนธรรมในประเทศไทย (พ.ศ. 2566 - 2570) สืบค้นจาก https://www.nsc.go.th/wp-content/uploads/2023/03/nsc_51_02.pdf
[12] เจษฎา เนตะวงศ์, (28 ธ.ค. 2566), ภาคประชาชนรุก ภาคนโยบายรับ : ความหวังและความท้าทาย ในสถานการณ์ชาติพันธุ์ สืบค้นจาก https://www.sac.or.th/portal/th/article/detail/556