ความเชื่อเรื่องการสัก
ที่มาของการสักยังเกี่ยวข้องกับความเชื่อในของขลัง
วิชาอาคม ว่าจะทำให้ผู้สักนั้นหนังเหนียว ฟันแทงไม่เข้า หรือที่เรียกกันว่า
“อยู่ยงคงกระพัน” การสักจึงเป็นที่นิยมมากสำหรับชายไทยตั้งแต่ก่อนสมัยอยุธยา เพราะมักต้องโดนเกณฑ์ไปออกศึกสงครามบ่อยครั้ง
จึงนับเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะหาของขลังวิชาอาคมติดตัวไว้เพื่อป้องกันตัวและเอาชีวิตรอดในสนามรบ
สัตว์ร้าย รมถึงโรคภัยไข้เจ็บ เรื่องการสักนี้ยังเป็นคติความเชื่อทางพุทธของชาวสยามด้วย
ด้วยบรรดาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในสมัยก่อนบางรูปจะนิยมสักและสอนสั่งวิชาเหล่านี้เพื่อไว้ให้เป็นการป้องกันตัวจากสิ่งชั่วร้าย
เป็นวิชาของชายชาตรี ซึ่งหลังจากการสักแล้ว คนผู้นั้นยังคงปฏิบัติตนตามความเชื่ออย่างเคร่งครัด
มิฉะนั้นแล้ว รอยสักหรือของขลังที่ลงไว้บนร่างกายก็จะเสื่อมไปด้วย
ลวดลายของการสักในแต่ละสำนักที่นิยมคล้ายคลึงกัน
เช่น หนุมาน สายยันต์ชนิดต่างๆ สายเสือเผ่น ลายมังกร ลายสิงห์ ฯลฯ
ตามความเชื่อหรือการหวังผลที่แตกต่างกันไป
ซึ่งยังมีความเชื่อด้วยว่าตำแหน่งการสักนั้นมีความสำคัญมาก
ส่วนใหญ่แล้วจะสักกันในบริเวณร่มผ้ามากที่สุด
และมักนิยมให้เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นผู้ลงมือสักให้ แล้วยังมีความเชื่อว่า
ถ้าเป็นชายไทยที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ หรือต้องการสักเพื่อนำไปทดลองวิชา
ตีรันฟันแทงกัน ก็จะทำให้ของขลังเหล่านั้นเสื่อม ไม่สามารถป้องกันได้จริง
ทุกชนชั้นในสมัยอยุธยานิยมสัก เพื่อหวังว่าจะอยู่ยงคงกระพัน
ลา
ลูแบร์
ราชทูตชาวฝรั่งเศสผู้เดินทางเข้ามาในกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยของพระนารายณ์มหาราช หลังจากได้เข้าเฝ้าและพบเห็นบ้านเมืองในสยามแล้ว
ก็ได้บันทึกเรื่องการสักของชาวสยามไว้อย่างน่าสนใจว่า
“ข้าพเจ้าเคยเห็นขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง
ซึ่งที่ขาของท่านมีสีนำเงินหม่นๆ...และสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงสักสีนำเงินตั้งแต่ฝ่าพระบาทขึ้นไปถึงพระนาภีเลยทีเดียว
อีกคนหนึ่งยืนยันแก่ข้าพเจ้าว่า...ทำกันไปเพราะเชื่อโชคลางของขลังให้อยู่ยงคงกระพันเท่านั้น...”[1]
จึงอาจกล่าวได้ว่า ค่านิยมเรื่องการสักตามความเชื่อว่าจะทำให้อยู่ยงคงกระพันนั้น
เป็นที่แพร่หลายแทบทุกระดับชั้นในสังคมชาวไทยโบราณ ไม่เว้นแม้แต่พระมหากษัตริย์
ในสมัยปัจจุบัน
การสักมิได้เป็นแค่เรื่องของความเชื่อเกี่ยวกับการอยู่ยงคงกระพันเท่านั้น
แต่กลายเป็นแฟชั่นหรือค่านิยมอย่างหนึ่ง ซึ่งได้รับความแพร่หลายไปทั่วโลก
ผู้มีชื่อเสียงเช่นดารา นักแสดง นักร้อง นักกีฬา
หลายคนนิยมเดินทางมาประเทศไทยเพื่อสักลวดลายต่างๆไว้บนร่างกาย ซึ่งก็อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเชื่อในสมัยโบราณแต่อย่างใด
แต่กลายเป็นศิลปะเพื่อความสวยงามบนเรือนร่างประเภทหนึ่ง
[1] สันต์ ท.โกมลบุตร (แปล), “จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ฉบับสมบูรณ์”, (กรุงเทพฯฯ: ก้าวหน้า, ๒๕๑๐), หน้า ๑๑๗.