1. ผู้เรียนมีความเข้าใจต่ออิทธิพลที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกที่กว้างขวางมากกว่าลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการเรียนรู้การแสดงออกและการตัดสินใจแสดงพฤติกรรมของผู้คน
2. ผู้เรียนมีความเข้าใจต่อแนวทางการศึกษาพฤติกรรมเชิงบูรณาการศาสตร์
3. ผู้เรียนสามารถประยุกต์ความรู้พฤติกรรมเชิงบูรณาการศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม
1. เข้าใจต่ออิทธิพลที่หลากหลายทั้งภายในและภายนอกที่กว้างขวางมากกว่าลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลที่ส่งผลต่อการเรียนรู้การแสดงออกและการตัดสินใจแสดงพฤติกรรมของผู้คน
2. เข้าใจต่อแนวทางการศึกษาพฤติกรรมเชิงบูรณาการศาสตร์
3. ประยุกต์ความรู้พฤติกรรมเชิงบูรณาการศาสตร์ไปใช้ประโยชน์ในการแก้ไขปัญหาสังคมและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เหมาะสม
- ครู/อาจารย์
- นักวิจัย
- นักศึกษาระดับปริญญาตรี
- บุคคลทั่วไป
- นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา
- อาจารย์ ดร. ประชาธิป กะทา หน่วยงาน คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
มนุษย์ทุกคนดำรงอยู่ในสังคมและโลก พฤติกรรมการแสดงออกของมนุษย์ทั้งพฤติกรรมภายนอกที่สังเกตเห็นได้และวัดได้ อาจแสดงออกในรูปแบบวัจนภาษาและอวัจนภาษา และพฤติกรรมภายในซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เช่น ความรู้สึก ทัศนคติ ความเชื่อ การรับรู้ การคิด ล้วนได้รับอิทธิพลจากสังคมและโลกที่เราอยู่ ทำให้พฤติกรรมมนุษย์มีความแตกต่างกันไปในแต่ละสถานการณ์ทางสังคม ถูกรับรู้และตีความหมายจากคนอื่นแตกต่างหลากหลายกันไป ในแต่ละผู้คนที่ต่างสังคมวัฒนธรรม ดังนั้น พฤติกรรมมนุษย์จึงเป็นผลผลิตจากปฏิสัมพันธ์กันระหว่างลักษณะทางจิตวิทยาส่วนบุคคลที่ถูกขัดเกลาบ่มเพาะ สถานการณ์ทางสังคมที่เป็นพลวัต และโลกเฉพาะที่บุคคลนั้น ๆ ดำเนินชีวิตอยู่
อ่าน
1. ชูชัย สมิทธิไกร.2564.บทนำ. ใน จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 3-16.
2. ทิพย์นภา หวนสุริยา. 2563. เจตคติและอิทธิพลทางสังคม. ใน จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape. หน้า 61-98.
3. สายพิณ ศุพุทธมงคล. (แปล) 2564. ประเภททางจิตวิทยา. ใน คาร์ล ยุง: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape. หน้า 138-162.
ในแวดวงวิชาการที่สนใจศึกษาพฤติกรรมของมนุษย์ มีข้อสรุปร่วมกันว่าพันธุกรรม (nature) กับการเลี้ยงดู (nurture) มีอิทธิพลหลักต่อการกำหนดบุคลิกลักษณะ ตัวตน การแสดงออกทางอารมณ์ของปัจเจกบุคคล พันธุกรรมไม่ได้เป็นตัวกำหนดพฤติกรรมตายตัว และพฤติกรรมการเลี้ยงดูของพ่อแม่ก็ไม่ใช่ตัวกำหนดตายตัวเช่นกัน พันธุกรรมที่ได้รับการถ่ายทอดจากพ่อแม่มีส่วนในการกำหนดพฤติกรรมของลูก แต่การเลี้ยงดูที่ดีจากพ่อแม่ช่วยสนับสนุนพฤติกรรมบวกให้พัฒนาดีขึ้น และลดพฤติกรรมลบที่มีอยู่แล้วให้น้อยลง หรืออยู่ในระดับที่ควบคุมได้
1. The Potential. 2563. พันธุกรรมไม่สำคัญเท่าการเลี้ยงดู ความเอาใจใส่ของพ่อแม่กำหนดบุคลิกของลูกได้.
https://www.ignitethailand.org/content/5607/ignite
2. ศรีเรือน แก้วกังวาน. อิทธิพลของกรรมพันธุ์ที่มีเหนือพฤติกรรม.
https://www.healthcarethai.com/
แบบแผนทางวัฒนธรรมมีบทบาทในการกำกับแบบแผนพฤติกรรมของมนุษย์ให้แตกต่างกันไปในแต่ละสังคม วัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีมีการถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งพร้อมไปกับถูกสมาชิกในสังคมรังสรรค์ประดิษฐ์ขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลา เราจะไม่สามารถเข้าใจพฤติกรรมของบุคคลในสังคม ต่าง ๆ ได้ หากไม่เข้าใจถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคมเหล่านั้น ความรู้ความเข้าใจต่อวัฒนธรรมแต่ละลักษณะ เช่น วัฒนธรรมชาติพันธุ์ (ethnic culture) วัฒนธรรมเฉพาะ (sub- culture) วัฒนธรรมประดิษฐ์ (invented culture) วัฒนธรรมมวลชน (popular culture) จะเป็นพื้นฐานนำไปสู่ความเข้าใจอิทธิพลของวัฒนธรรมลักษณะต่าง ๆ ที่มีบทบาทแตกต่างกันไปในการกำกับพฤติกรรมบุคคล
1.ประชาธิป กะทา และสิทธิโชค ชาวไร่เงิน. 2561. วัฒนธรรม. ใน ระบาดวิทยาวัฒนธรรม. นนทบุรี: สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ. หน้า 41-62.
2.วิภาส ปรัชญาภรณ์. 2563. ตัวอ่อนของผึ้งและซุปหัวหอม: วัฒนธรรม. ใน มานุษยวิทยา: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape. หน้า 69-99.
3.พรรณี ฉัตรพลรักษ. (แปล).2564.วัฒนธรรมและพฤติกรรมของคนไทย.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มติชน.
พฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์เกิดจากกระบวนการเรียนรู้ อบรม และขัดเกลาทางสังคมในระดับครอบครัวและชุมชน การขัดเกลาทางสังคมหรือการอบรมสั่งสอนมี 2 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นปฐมภูมิ เป็นการอบรมขัดเกลาที่ได้รับในวัยเด็กนับตั้งแต่คลอดออกมา โดยได้จากครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ทำให้เกิดบุคลิกภาพเป็นของตนเองโดยเฉพาะ 2) ขั้นทุติยภูมิ เป็นการอบรมขัดเกลาที่ได้รับในช่วงประกอบอาชีพ เพื่อเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของตน เช่น เป็นครู เป็นแพทย์ เป็นนักธุรกิจ สำหรับรูปแบบการขัดเกลาทางสังคมี 2 รูปแบบ คือ (1) โดยตรง (Direct Socialization) พบเห็นในหมู่ครอบครัว โรงเรียน และวัด เป็นการเรียนรู้ อย่างแจ่มแจ้ง (2) โดยอ้อม (Indirect Socialization) เป็นการลอกเลียนแบบมาปฏิบัติ เช่น พ่อแม่ชอบใช้คำหยาบ ลูกก็จะพูดคำหยาบด้วย ครอบครัว ชุมชน สังคม และองค์กรที่ทำหน้าที่อบรมขัดเกลาทางสังคมให้กับสมาชิกในสังคม มีลักษณะเป็นพลวัตแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลา เกิดการเผชิญหน้า ปะทะประสาน และต่อรองกันระหว่างสมาชิกในสังคมกับกลุ่มทางสังคมและองค์กรที่มีบทบาทหน้าที่ขัดเกลาทางสังคม
1.ชูชัย สมิทธิไกร.2564.อิทธิพลของสังคม. ใน จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 137-150.
2.สุทัศน์ บุญโฉม. 2557. การขัดเกลาทางสังคมของครอบครัวกับพฤติกรรมเบี่ยงเบน. วารสารดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์. ปีที่ 4 ฉบับที่ 1. หน้า 91-109.
3.ภัทรพรรณ ทำดี. 2559. บนเส้นทางสายน้ำนมแม่: อัตลักษณ์ของแม่ทำงานยุคใหม่กับความยากลำบากในความเป็นแม่. วารสารวิจัยสังคม. ปีที่ 39 ฉบับที่ 1 (ม.ค.-มิ.ย. 2559). หน้า 1-38.
ผู้คนเลือกตัดสินใจแสดงพฤติกรรมในชีวิตประจำวันจากประสบการณ์ทางสังคมที่พวกเขาได้เรียนรู้ทั้งแบบทางตรงและเป็นประสบการณ์ที่ค่อย ๆ ซึมซับแฝงฝังในร่างกายจากการกระทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ ๆ ประสบการณ์ทางสังคมของบุคคลเป็นผลผลิตจากปฏิสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างโลกและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่บุคคลใช้ชีวิตอยู่ในระดับจุลภาคกับโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองในระดับมหภาค ประสบการณ์ทางสังคมที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้คนแม้จะผ่านเหตุการณ์เดียวกัน แต่อาจจะแสดงพฤติกรรมตอบสนองและให้ความหมายต่อเหตุการณ์นั้นต่างกัน
1. ประชาธิป กะทา. 2549. สมุฏฐานทางสังคมกับโรคยานุวัตร. หมออนามัย (มีนาคม-เมษายน). หน้า 74-77.
2. สรัญญา เตรัตน์. 2558. แนวคิดสังคมวิทยาผัสสะ: การทำความเข้าใจผู้คนและสังคมผ่านผัสสะ. วารสารสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา. ปีที่ 34 ฉบับที่ 2. หน้า 101-122.
ทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมีอยู่หลายทฤษฎีสำคัญ ทฤษฎีที่มีอิทธิพลหลัก คือ ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล ใช้แนวคิดเรื่องอรรถประโยชน์ (Utilitarian) ที่ว่ามนุษย์เป็นผู้มีเจตจำนงเสรี (Free will) และมีเหตุมีผล ซึ่งก่อนการตัดสินใจจะกระทำสิ่งใดจะมีการคำนึงถึงผลเสียและผลประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีการเลือกอย่างมีเหตุผล ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างสำคัญว่า ในหลายกรณีมนุษย์ในบางกลุ่มสังคมและบางสถานการณ์ ไม่ได้มีเจตจำนงค์เสรีสามารถใคร่ครวญประเมินอย่างมีเหตุผลก่อนตัดสินใจได้ในทุกเรื่องและทุกสถานการณ์ อาจเกิดจากข้อจำกัดทางสังคมเศรษฐกิจ หรือทักษะศักยภาพของปัจเจกบุคคลเอง ผู้คนบางกลุ่มที่แม้อยากจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม แต่กระทำไม่ได้ด้วยข้อจำกัดต่าง ๆ จะเลือกวิธีการเพื่อลดอันตราย (harm reduction) ลดความเสี่ยง จากการที่พวกเขายังต้องมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม
1.ประชาธิป กะทา และสิทธิโชค ชาวไร่เงิน. 2561. วัฒนธรรมกับความเสี่ยงสุขภาพ. ใน ระบาดวิทยาวัฒนธรรม. นนทบุรี: สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ. หน้า 93-130.
การแสดงออกพฤติกรรมของมนุษย์เป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลผู้มีเหตุผล ตระหนักรู้ในสิ่งที่กระทำ และแรงจูงใจส่วนตัว (agency) หรือเป็นผลผลิตจากอิทธิพลแรงบีบทางโครงสร้าง (structure) ยังเป็นวิวาทะสำคัญในแวดวงวิชาการทางพฤติกรรมศาสตร์ นักวิชาการที่เชื่อว่าสังคม หรือโครงสร้างสังคมมีความสำคัญเหนือกว่าปัจเจกบุคคล และเป็นตัววางกรอบจำกัดให้กับการกระทำของปัจเจกบุคคล มุ่งเน้นที่การพัฒนาโครงสร้างสังคมใหม่ขึ้นแทนระบบเชิงโครงสร้างสังคมแบบเดิม เช่น การพัฒนาเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจ การเมือง สังคมวัฒนธรรม เป้าหมายเพื่อสร้างแรงบีบทางโครงสร้างใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล ในอีกด้านหนึ่งนักวิชาการที่เชื่อว่าการแสดงออกของปัจเจกบุคคลมีเหตุผลและแรงจูงใจสำหรับสิ่งที่พวกเขากระทำ มุ่งเน้นการถอดรื้อโครงสร้างที่ควบคุมกำกับสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ เพื่อปลดปล่อยให้มนุษย์มีอิสระและเจตจำนงค์เสรี
1. เชษฐา พวงหัตถ์. 2549. วิวาทะ Structure-Agency และการหาทางออกให้กับปัญหาทวิลักษณ์นิยม: Marxism versus Foucault. วารสารสังคมศาสตร์. ปีที่ 37 ฉบับที่ 1-2 มกราคม-ธันวาคม. หน้า 128-187.
ตัวตนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเรา เพราะการรู้ว่าตัวเราเป็นใคร ทำให้เรารู้ว่าเราควรจะคิดและปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไรในสังคม นักวิชาการให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับตัวตนและกระบวนการต่าง ๆ ที่นำมาสู่การรับรู้ตัวตนของมนุษย์ เพราะตัวตนเป็นเสมือนผู้จัดการความคิด ความรู้สึก และการกระทำของบุคคล ซึ่งเป็นศูนย์กลางของบุคลิกภาพ อัตมโนทัศน์ (self-concept) เป็นภาพรวมของความเชื่อที่บุคคลมีต่อตนเอง หรือนัยหนึ่งคือความเชื่อที่บอกว่า “ฉันคือใคร” บุคคลที่มีอัตมโนทัศน์แตกต่างกัน จะแสดงพฤติกรรมแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นการทำกิจกรรม การทำงาน การเรียน หรือการเข้าสังคม อัตมโนทัศน์มีแหล่งที่มาหลายแหล่ง แต่เป็นที่ยอมรับร่วมกันว่าได้รับอิทธิพลอย่างมากจากวัฒนธรรมของสังคม เช่น วัฒนธรรมแบบปัจเจกนิยม (individualism) และวัฒนธรรมรวมหมู่นิยม (collectivism) ที่หล่อหลอมอัตมโนทัศน์ให้แตกต่างกัน อัตลักษณ์ คือ สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นเรา หรือพวกเราแตกต่างจากเขา พวกเขา หรือคนอื่น อัตลักษณ์ไม่จำเป็นต้องมีหนึ่งเดียว แต่อาจมีหลายอัตลักษณ์ที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นตัวเรา พวกเรา อัตลักษณ์ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นในสังคม อัตลักษณ์ จำเป็นต้องมีกระบวนการสร้างความเหมือนระหว่าง พวกเรา และความแตกต่างกับ พวกเขา หรือ คนอื่น หรือ กระบวนการสร้างอัตลักษณ์เกิดขึ้นควบคู่กันไป อัตลักษณ์ เป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกในกลุ่มสังคม รู้สึกร่วมกันว่าเป็นพวกเดียวกันและรู้สึกแตกต่างจากคนในกลุ่มสังคมอื่น สื่อวิดีโอ
1. ชูชัย สมิทธิไกร.2564.ตัวตนในสังคม. ใน จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 39-58.
2. ประเสริฐ แรงกล้า. 2565. ข้อถกเถียงในวิชาจริยศาสตร์.ใน มานุษยวิทยาจริยศาสตร์: มนุษย์ สิ่งที่ดีและอนาคต.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หน้า 43-64.
3. ยุกติ มุกดาวิจิตร. 2564. รื้อร้างสร้างอัตลักษณ์: สนทนากับกลุ่มวิจัยอัตลักษณ์ท้องถิ่น. ใน วิวาทะมานุษยวิทยา: วิถีทฤษฎีและวิธีวิทยา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม. หน้า 198-226.
ดู
ในแต่ละวันบุคคลจะมีอารมณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย อาจจะเป็นความพึงพอใจ ความโกรธ ความร่าเริง ความเจ็บปวด ความผิดหวัง เพราะตลอดเวลาที่บุคคลอยู่ในสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง บุคคลจะอยู่ภายใต้สิ่งเร้า (stimulus) และประสบการณ์ (experience) ที่เขามีอยู่ ทำให้อารมณ์แปรเปลี่ยนไปมา อารมณ์เป็นผลผลิตจากสังคม อารมณ์เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นภายใน เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นจากการเรียนรู้ และเป็นเหมือนตัวกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจ ที่จะนำไปสู่พฤติกรรมหนึ่ง ๆ ของบุคคล
1. ชรัญรักษ์ ปัญญามูลวงษา และรังสรรค์ โฉมยา. 2562. อารมณ์ที่เกี่ยวเนื่องทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการบริโภคของนักศึกษา. Humanities, Social Science and Arts. ปีที่ 12 ฉบับที่ 4. หน้า 226-245.
2. อภิญญา เฟื่องฟูสกุล. 2551. มานุษยวิทยากับอารมณ์. เอกสารประกอบการสัมมนาเวทีวิจัยมนุษยศาสตร์ไทย ครั้งที่ 4, อารมณ์, อำนาจ, ความรู้สึก, มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 31 มกราคม 2551. หน้า 199-233.
3. ทิพย์นภา หวนสุริยา. 2563. ความรักและความชอบพอรูปแบบอื่น ๆ . ใน จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape. หน้า 155-174.
ความทรงจำทางสังคมในฐานะผลผลิตทางประวัติศาสตร์ ก่อรูปลักษณะทางจิตวิทยาและประสบการณ์ทางสังคมที่เฉพาะให้กับปัจเจกบุคคลและสมาชิกในสังคมที่ผ่านเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์เดียวกัน เหตุการณ์โศกนาฏกรรมทางสังคม ความรุนแรงทางการเมือง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ การเผชิญภัยพิบัติ และโรคระบาด ล้วนมีอิทธิพลต่อการก่อรูปตัวตนและอัตลักษณ์ทางสังคมเฉพาะของปัจเจกบุคคลและสมาชิกสังคมหนึ่ง ๆ ผู้คนในบางสังคมที่เคยผ่านเหตุการณ์การตกเป็นอาณานิคมจะมีท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อคนในโลกตะวันตก ปัจเจกบุคคลที่ผ่านโศกนาฏกรรมใหญ่ในสังคมจะเปลี่ยนวิธีคิดต่อความหมายของชีวิตที่เหลืออยู่ บุคคลที่เผชิญความอดอยากแร้นแค้นจากอำนาจที่ไม่เป็นธรรมกดขี่จะส่งผลให้คนในสังคมนั้นเรียนรู้การเอาตัวรอดในชีวิตประจำวันมากกว่าการดูแลเอาใจใส่กัน เป็นต้น ดังนั้น การปรับเปลี่ยนปัญหาเชิงพฤติกรรมที่ยั่งยืนต้องอาศัยการเยียวยาและฟื้นฟูสังคมไปพร้อมกัน
1.นฤพนธ์ ด้วงวิเศษ. Anthropology of Memory.
https://anthropology-concepts.sac.or.th/glossary/199
2.จุฬารัตน์ ดำรงวิถีธรรม. 2559. เรื่องเล่าถังแดงกับความทรงจำ “ร่วม” ของชุมชน. ใน ถังแดง: การซ่อมสร้างประวัติศาสตร์และความทรงจำหลอนในสังคมไทย. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
3.วิไลวรรณ จงวิไลเกษม.2550. “สงครามความทรงจำ: ความรับรู้ กับ ความทรงจำ ร่วมทาง สังคมในวิกฤตไฟใต้.
https://deepsouthwatch.org/sites/default/files/archives/docs/02_wilaiwan_-_memr.war_.pdf
อำนาจกับความรู้ในสังคมหนึ่ง ๆ มีอิทธิพลในการประกอบสร้างความจริงพร้อมไปกับการสร้างการรับรู้และยอมรับความจริงนั้น ๆ ความจริงทางสังคมที่ประกอบสร้างขึ้น มักจะจัดจำแนกหมวดหมู่ให้กับสิ่ง ต่าง ๆ ในสังคมออกเป็นคู่ตรงข้าม เช่น ปกติ/ผิดปกติ มลทิน/ศีลธรรม ดี/เลว เป็นต้น การจัดหมวดหมู่ให้กับความจริงทางสังคมของอำนาจและความรู้ มีอิทธิพลต่อการควบคุมกำกับพฤติกรรมสมาชิกในสังคมและกำหนดความหมายให้กับพฤติกรรมหนึ่ง ๆ พฤติกรรมอะไรที่กระทำแล้วเป็นที่ยอมรับทางสังคม หรือหากแสดงออกถือว่าเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบน ถูกตีตรากล่าวหา การแสดงออกของพฤติกรรมทางสังคมจึงถูกกำกับไว้ด้วยความสัมพันธ์เชิงอำนาจหลากหลายรูปแบบที่ไม่เท่าเทียมและอำนาจการกดขี่บังคับ
1. กฤตภัค งามวาสีนนท์. 2565. บทที่ 1 การรู้คิดและพฤติกรรม: ความรู้ อำนาจ และการประกอบสร้างตัวตน. ใน คิด, เร็ว ช้า ความรู้ อำนาจ และการประกอบสร้างตัวตน: จากโรคซึมเศร้าถึงเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ศยาม. หน้า 3-43.
2. มิเชล ฟูโกต์. 2558.ร่างกายใต้บงการ. ทองกร โภคธรรม (แปล).กรุงเทพฯ: คบไฟ.
3. ทิพย์นภา หวนสุริยา. 2563. การเชื่อฟังคำสั่ง การกดขี่ และความก้าวร้าว. ใน จิตวิทยาสังคม: ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ bookscape. หน้า 101-125.
“ที่ใดมีการกดขี่บังคับของอำนาจ ที่นั่นย่อมมีการต่อต้านขัดขืน” ข้อเสนอของมิเชล ฟูโกต์ ช่วยขยายมุมมองต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางสังคมที่มักจะถูกกล่าวหาตีตราทางสังคม ว่าอาจเป็นพฤติกรรมที่มีความหมายทางสังคมแบบอื่น ๆ โดยเฉพาะการตีความว่าเป็นยุทธวิธีของคนด้อยอำนาจใช้แสดงออกในการต่อต้านขัดขืนต่ออำนาจที่ควบคุมกำกับเหนือชีวิตของพวกเขา แนวคิดวัฒนธรรมต้าน (counter culture) นำเสนอโดย ธีโอดอร์ รอสซัก (Theodore Roszak) วัฒนธรรมต่อต้าน ใช้อธิบายบรรทัดฐานทางพฤติกรรมและค่านิยมของกลุ่มวัฒนธรรม หรือวัฒนธรรมย่อย เพื่อเป็นการแสดงออก หรือต่อต้านวัฒนธรรมที่เป็นกระแสหลักของสังคม เป็นวัฒนธรรมที่เทียบได้กับฝ่ายค้านในทางการเมือง ความเคลื่อนไหวของวัฒนธรรมต่อต้านแสดงออกถึงลักษณะพื้นฐานทางสังคมที่มีร่วมกันของกลุ่มคน ความทะเยอทะยาน และความฝันของประชากรกลุ่มหนึ่งในระยะเวลาช่วงหนึ่ง แนวคิดการต่อต้านขัดขืนและวัฒนธรรมต้าน ขยายความรู้ความเข้าใจต่อการเลือกตัดสินใจแสดงพฤติกรรมของผู้คนในบางกลุ่มสังคมว่า อาจตีความหมายที่กว้างมากกว่าการเป็นแค่พฤติกรรมของผู้ที่หลงผิดเบี่ยงเบนและควรต้องถูกกล่าวหาตีตราเท่านั้น
1.ยุกติ มุกดาวิจิตร. 2556.วิธีวิทยาศึกษาวัฒนธรรมต่อต้าน. ใน วัฒนธรรมต่อต้าน. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). หน้า 3-56.
2.สายพิณ ศุพุทธมงคล. (2542). คุกกับคน อำนาจและการต่อต้านขัดขืน. กรุงเทพฯ:มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
3.ชิเกฮารุ ทานาเบ. 2551. ชุมชนกับการปกครองชีวญาณ: กลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวีในภาคเหนือของไทย. กรุงเทพฯ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน).
ในปัจจุบันเส้นแบ่งระหว่างความเป็นชนบทกับความเป็นเมืองพร่าเลือนลงอย่างมาก อันเป็นผลจากอิทธิพลความเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจ การเดินทางคมนาคมที่สะดวก และการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสาร ทำให้แม้ผู้คนจะใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ชนบท แต่โลกทัศน์และอุดมคติที่กำกับพฤติกรรมของพวกเขาไม่ได้แตกต่างมากนักจากคนที่อาศัยอยู่ในเมือง อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทเฉพาะทางสังคมวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อมรอบตัว ผังเมือง และลักษณะทางประชากรที่แตกต่างกันของผู้คนที่อาศัยในชนบทกับเมือง พฤติกรรมการแสดงออกทั้งพฤติกรรมภายในและภายนอกยังคงมีลักษณะที่แตกต่างกัน และพฤติกรรมการแสดงออกเดียวกันหากแสดงออกที่ต่างพื้นที่กันระหว่างชนบทกับเมืองก็จะได้รับการยอมรับทางสังคมแตกต่างกัน บริบทเชิงพื้นที่ระหว่างชนบทกับเมืองมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้คนให้เหมือนและแตกต่างกัน
1. ดันแคน, แมคคาโก, อัญชลี มณีโรจน์ และเสาวนีย์ ตรีรัตน์ อเลกซานเดอร์. 2555. คนกึ่งเมืองกึ่งชนบทในการชุมนุมประท้วงของคนเสื้อแดงปี 2553 มิใช่เพียงแค่เกษตรกรยากจน. ฟ้าเดียวกัน. ปีที่ 10 ฉบับที่ 2. หน้า 98-121.
2. พฤกษ์ เถาถวิล. 2551. การดำรงอยู่ของสังคมชาวนา: กรณีศึกษาปัญหาหนี้สินในหมู่บ้านชานเมือง. วารสารศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. ปีที่ 4 ฉบับที่ 5. หน้า 1-15.
ผู้คนในปัจจุบันใช้ชีวิตคู่ขนานระหว่างโลกชีวิตจริงกับโลกออนไลน์ การศึกษาพฤติกรรมของผู้คนกลุ่มต่าง ๆ ที่ใช้ชีวิตในสังคมออนไลน์ แสดงให้เราเห็นการแสดงออกของพฤติกรรมในโลกออนไลน์ทั้งจำลองจากรูปแบบการใช้ชีวิตในโลกชีวิตจริงและการใช้สื่อ ภาษา และสัญลักษณ์ที่เฉพาะเจาะจงในโลกออนไลน์ ซึ่งแตกต่างจากโลกชีวิตจริงของพวกเขา บนแพลตฟอร์มออนไลน์การสร้างบัญชีปลอมช่วยให้เจ้าของบัญชีสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางสังคมกับคนอื่นได้อิสระมากขึ้น ไม่ได้ถูกกำกับควบคุมพฤติกรรมด้วยบรรทัดฐานทางสังคมเหมือนในโลกชีวิตจริง กระทั่งสามารถแสดงออกซึ่งตัวตนและอัตลักษณ์ทางสังคมต่อคนอื่นได้อย่างแตกต่างหลากหลาย ในอีกด้านหนึ่งกฏระเบียบของแพลตฟอร์มมีอิทธิพลกำกับต่อการโพสต์และแชทของสมาชิกให้เป็นไปตามบรรทัดฐานทางสังคมในสังคมออนไลน์
1. ฐณฐ จินดานนท์. (แปล). 2562. ความสัมพันธ์ในโลกออนไลน์และออฟไลน์. ใน Why We Post: ส่องวัฒนธรรมโซเซียลมีเดียผ่านมานุษยวิทยาดิจิทัล. กรุงเทพฯ: Bookscape. หน้า 167-187
2. กุลระวี สุขีโมกข์. 2562.บทปริทัศน์หนังสือ Coming of Age in Second life: an anthropologist explores the virtually human. วารสารมานุษยวิทยา. ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2562). หน้า 194-201.
พฤติกรรมเป็นทั้งเรื่องส่วนตัวและส่วนร่วม ปรับเปลี่ยนแสดงออกไปตามพลวัตสถานที่ ห้วงเวลา และสถานการณ์ทางสังคมที่บุคคลใช้ชีวิตอยู่ แนวทางการศึกษาพฤติกรรมเชิงบูรณาการศาสตร์ให้ความสำคัญกับการเคลื่อนย้ายเดินทางของผู้คนยุคปัจจุบันที่มีอิทธิพลต่อตัวตนและอัตลักษณ์ที่ลื่นไหลไปมา การเก็บข้อมูลวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มที่ถ่ายทอดเรียนรู้กันในหมู่สมาชิก การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์ที่สร้างประสบการณ์ทางสังคม และการวิเคราะห์วาทกรรมที่สร้างความหมายทางสังคมให้กับพฤติกรรม
1. ชูชัย สมิทธิไกร.2564.วิธีการวิจัยทางจิตวิทยาสังคม. ใน จิตวิทยาสังคม.กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. หน้า 19-35.
เป็นที่ยอมรับกันว่าความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมทางสังคมของมนุษย์เป็นข้อมูลพื้นฐานในการวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหาสังคม ไม่ว่าจะเป็นการก่ออาชญากรรม การใช้ความรุนแรง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่ม หรือการกระทำผิดอื่น ๆ อาจกล่าวได้ว่าโครงการ มาตรการ และกฎหมายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาสังคมและส่งเสริมให้ประชาชนแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ล้วนเป็นผลมาจากความรู้ความเข้าใจอย่างเป็นบูรณาการศาสตร์เกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์
1. สรัญญา เตรัตน์. 2565.สังคมวิทยาและประสาทศาสตร์: การเชื่อมต่อศาสตร์ในการทำความเข้าใจพฤติกรรม. ใน ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง (บรรณาธิการ). สังคมวิทยาและมานุษยวิทยาในกระแสข้ามศาสตร์. กรุงเทพฯ: คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. หน้า 213-239.